ไม่พบผลการค้นหา
'ณัฐชา' เล่าความหลังซาบซึ้ง ศรัทธา 'ธนาธร-อนาคตใหม่' เผย 'ปิยบุตร' ปลุกใจให้กล้าอภิปรายในสภา ทำหน้าที่ตัวแทนประชาชน

วันที่ 22 เม.ย. บนเวทีปราศรัย 'ทัพใหญ่ก้าวไกล ปราศรัยโค้งสุดท้าย' ที่ลานหน้าห้างสรรพสินค้าสามย่านมิตรทาวน์ ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตบางขุนเทียน พรรคก้าวไกล ปราศรัยเล่าถึงจุดเริ่มต้นของเข้าร่วมงานทางการเมืองกับพรรคอนาคตใหม่ โดยเริ่มต้นจากแบ่งเขตใหม่ ยกตัวอย่างเขตที่ตนลงสมัคร ซึ่งสมัความสับสนให้ประชาชน โดยเราลดการสับสนเรื่องนี้โดยการกาก้าวไกลทั้ง 2 ใบ ไม่ต้องไปสนใจ และต้องไม่ลังเล 

จากนั้น ณัฐชา ปราศรัยต่อว่า ไม่อยากเชื่อเลยว่า การเข้าสู่วงการการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ (ณ เวลานั้น) ไม่มีความซับซ้อน พรรคที่มีอุดมการณ์ แน่วแน่ ไม่ได้จะเอาพรรคไปเป็นกลไกต่อรอง หรือไปต่อยอดเพื่อขึ้นสู่อำนาจ ไม่ได้ตั้งพรรคเพื่อลงทุนและถอนทุนคืน ตนชื่นชอบการเมืองมาตั้งแต่วัยเยาว์ แต่มองว่าการเมืองนั้นเป็นเรื่องไกลตัว เพราะตอนเกิดมาในครอบครัวที่ไม่มีใครยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเลยแม้แต่น้อย 

"มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมตัดสินใจสู่พรรคอนาคตใหม่ คือเห็นจุดมุ่งหวังของธนาธรที่ตั้งพรรคขึ้นมา ธนาธรพูดในคลิปเพียงคำพูดเดียวทำให้ผมตัดสินใจสมัครสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ตลอดชีพ เพื่อจะขอบคุณคำพูดนี้ของธนาธรที่กล่าวว่า 'ในสังคมไทยไม่จำเป็นต้องประจานตนเองเพื่อให้ได้รับสิทธิอีกต่อไป' ผมเองอยู่ในสังคมที่ต้องไปยืนหน้าชั้นเรียน แล้วเล่าเรื่องที่จนที่สุด ต้องไปเขียนเรียงความเรื่องความจนแข่งกับเพื่อน

เพื่อได้รับสิทธิเพียงน้อยนิดที่รัฐบาลโดยนเศษเงินมาให้ และวันนั้นที่เขาตั้งพรรคอนาคตใหม่ เขาพูดเรื่องนี้ จากนั้นผมก็กลับไปทำงานต่อ มีการส่ง SMS ว่าพรรคอนาคตใหม่ กำลังเปิดรับสมัคร ส.ส. ซึ่งเหมือนการประกาศรับพนักงาน สุดท้าย ไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนี้ การมองว่าการเมืองเป็นเรื่องใกล้ตัวเพียงพลิกกระดาษ A4 และเข้าสู่วงการการเมืองด้วยเพียงอายุ 27 ปี" ณัฐชา กล่าว

จากนั้น ณัฐชา ปราศรัยต่อไปอีกว่า หลังการชนะเลือกตั้ง ได้เป็น ส.ส.กทม.พรรคอนาคตใหม่ ครั้งแรกที่เข้าสภา ไม่กล้าลุกขึ้นอภิปราย เจอ ส.ส.ที่เราเห็นตั้งแต่เด็กๆ แล้วปัจจุบันก็ยังนั่งอยู่ในสภาอยู่ จนกระทั่ง ปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เข้ามาบอกกับตนว่า 'คุณกลัวใช่ไหม ที่จะอภิปราย คุณคิดว่าไม่เป็นที่ของคุณใช่ไหม ทำไมนอกสภาคุณทำได้ แต่ตรงนี้เป็นที่ของทุกคน สภาเป็นที่พูดของตัวแทนประชาชน เพราะสภาไม่สามารถสร้างที่ๆคนทั้ง 66 ล้านคน จะเข้ามาพูดได้ เขาจึงสร้างระบบตัวแทนประชาชน คุณคือตัวแทนประชาชน คุณแค่เอาความรู้สึกตอนคุณเป็นประชาชน มาสะท้อนในนี้ได้มากที่สุด' ตนฟังเช่นนี้ แล้วรู้สึกการอภิปรายในสภาไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป 

"พรรคอนาคตใหม่ ทลายกำลังแพงลงไปแล้วครึ่งหนึ่ง นำคนทั้ง 81 คน เข้าสภาไปได้ และพูดในสภาไป 81 คน สร้างการเปลี่ยนแปลงได้แล้วในฝ่ายนิติบัญญัติ แม้จะเป็นฝ่ายค้าน เราเปลี่ยนการทำงานของระบบผู้แทนประชาชนไปได้เรียบร้อยแล้ว รอบนี้เราจะปล่อยผ่านไม่ได้ เพราะเราจะเข้าไปเปลี่ยนการทำงานอีกรูปแบบหนึ่ง คือฝ่ายรัฐบาล ก้าวไกลต้องเป็นรัฐบาลเท่านั้นเพื่อการเปลี่ยนแปลง เพื่อนอนาคตของลูกหลานทุกคน" ณัฐชา กล่าวปิดท้าย


'เซีย' ประเดิมปราศรัยใหญ่ หวังใช้มือกรรมกรสร้างรัฐสวัสดิการ

ด้าน เซีย จำปาทอง ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ อันดับ 4 ของพรรคก้าวไกล ขึ้นเวทีปราศรัยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ประกาศรายชื่อ โดยเล่าย้อนอดีตว่า ตนเป็นแค่คนธรรมดาทำงานรับจ้าง เกิดมาในครอบครัวชาวนาฐานะยากจน ไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ จบเพียงชั้นมัธยมปลายในศูนย์การศึกษานอกห้องเรียน ทำงานแรกได้ค่าแรง 115 บาทต่อวัน ตามกฎหมายในเวลานั้น และทำงานเป็นกะมาต่อเนื่อง 20 ปี

5895E2F5-CA75-4DD3-9055-537F9C866239-L0-001.jpg

"กรรมกรอย่างผมทำงาน 20-30 ปีก็ไม่มีโอกาสรวย หมอวินิจฉัยว่าผมเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเข้ารับการผ่าตัดฟื้นฟู จนอาการเริ่มดีขึ้น แต่ก็ต้องกลับเข้าไปทำงานเช่นเดิมเพราะต้องหารายได้เลี้ยงครอบครัว "

"ในขณะที่ผมและคนส่วนใหญ่ในประเทศทำงานอย่างหนักมาหลายสิบปี จนเจ็บป่วย จนนายจ้างร่ำรวย เขาสามารถเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 700 ล้านบาท ขณะที่พวกผมมีชีวิตแร้นแค้นเหมือนเดิม หนี้ท่วมตัว แต่พวกเขากลับใช้วาทกรรมว่า พวกผมเป็นคนขี้เกียจ แล้วบอกให้พวกผมทำงานหนักขึ้น"

เซีย กล่าวว่า ด้วยเหตุนี้ ทำให้พวกตนตัดสินใจเข้าต่อสู้กับสหภาพแรงงาน เพราะจะไม่ยอมให้เขากดขี่ขูดรีดอีกต่อไป การอยู่ร่วมกันในสหภาพแรงงานต้องมีฉันทามติร่วมกัน เช่นเดียวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทุกครั้งที่เกิดรัฐบาลตนจึงออกไปต่อต้านทุกครั้ง เพราะเหตุว่าสิทธิแรงงานและประชาธิปไตยคือเรื่องเดียวกัน 

"ผมได้เข้าชุมนุมกับพี่น้องเสื้อแดง แต่ละครั้งมีแต่ความเจ็บปวด ความตาย ความสำเร็จที่ได้มาถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้สูญเสียไป จะกี่รัฐบาลก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปถึงรากถึงแก่น ... สิ่งที่เจ็บปวดที่สุด คือเห็นพี่น้องเสื้อแดงถูกยิงล้มต่อหน้าต่อตาของผม นี่คือความเจ็บปวดมากเกินกว่าจะเล่าทั้งหมดในช่วงเวลาสั้นๆ นี้" 

เซีย เล่าต่อไปว่า ในปี 2560 ตนได้มาทำงานร่วมกับพรรคอนาคตใหม่ และเชื่อว่านี่คือพรรคของกรรมกร ที่คนอย่างพวกตนสามารถเข้าไปมีบทบาทส่วนร่วมได้เข้าสภาจริงๆ หลังการเลือกตั้งปี 2562 หากตัวนี้ไปสสขอให้อย่าลืมพี่น้องกรรมกรที่อยู่ในเรือนจำขอให้พวกเขาได้รับสิทธิประกันตัวเพื่อออกมาสู้คดีตามกระบวนการกฎหมาย ได้รับปากว่าจะทวงถามความยุติธรรมให้คนเหล่านั้น

เซีย ทิ้งท้ายว่า การเมืองแบบพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกลที่เปิดโอกาสให้คนทำงาน ได้นำเสนอนโยบายผ่านเครือข่ายเพื่อใช้แรงงาน พวกคนจะพิสูจน์ว่ามือกรรมกรนี่แหละจะแก้ปัญหาของพวกเราด้วยตัวเราเอง และจะเปลี่ยนประเทศนี้ให้เป็นรัฐสวัสดิการ ร่วมสร้างสังคมให้เป็นประชาธิปไตย