วันที่ 10 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการช่วยเหลือแรงงานไทยจากกรณีความรุนแรงในพื้นที่ตะวันออกกลางว่า เอกอัครราชทูตไทยในกรุงเทลอาวีฟได้แจ้งข่าวดีมาว่า มีการอพยพคนมากขึ้น โดยในการประชุมศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉินฯ จะมีการวางแผนนำคนกลับเข้าประเทศวันละเท่าไหร่ โดยยอดล่าสุดมีผู้แจ้งความประสงค์เข้ามา 3,000 กว่าคน จากจำนวนผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยมากกว่า 5,000 คน 

โดยวิธีการอพยพจะใช้ทั้งเครื่องบินเช่าเหมาลำ และเครื่องบินพาณิชย์ของประเทศ ซึ่งจะมีผู้อพยพอีกชุดในวันที่ 19 ต.ค. ซึ่งต้องขอขอบคุณทูตอิสราเอลที่ติดต่อเครื่องบินให้เราทุกช่องทางเพื่อให้ไปช่วยเหลือคนไทยได้เร็วที่สุด และให้เครื่องลงจอดที่อิสราเอลได้เลย แต่จากความรุนแรงในพื้นที่ก็ได้มีการประสานกับประเทศรอบๆ เพื่อนำเครื่องไปลงจอดอีกด้วย 

จักรพงษ์ ย้ำว่า แรงงานไทยที่อยากกลับประเทศมีจำนวน 3,000 กว่าคน และคนที่ประสงค์จะอยู่ประมาณหลักร้อย โดยมีทั้งแรงงานถูกกฎหมาย และแรงงานผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า แรงงานผิดกฎหมายมักจะอยู่ในพื้นที่ใกล้กับชายแดนความรุนแรง และมีความขัดแย้งสูง ส่วนกรณีที่นายจ้างมีการขายแรงงานให้แก่นายจ้างคนอื่นนั้น ได้รับรายงานมา แต่ยังไม่ได้รับการยืนยัน พร้อมย้ำว่า ยังมีการเจรจากับประเทศต่างๆ เพื่อช่วยเหลือในการปล่อยตัวประกันอยู่ตลอด 

ส่วนกรณีของแรงงานไทยที่มีความพยายามซื้อตั๋วเครื่องบินพาณิชย์กลับเมืองไทยมาเอง จักรพงษ์ กล่าวว่า สถานทูตเขาจัดการอย่างครอบคลุมอยู่แล้ว โดยผู้ที่ประสงค์จะกลับก่อน ทางสถานทูตต้องดูแลค่าใช้จ่ายหรือไม่ ต้องดูเป็นกรณีๆ ไป 

ทั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังกล่าวอีกว่า จำนวนผู้เสียชีวิตในอิสราเอลยังไม่สามารถยืนยันได้ แต่ก็ยังมีการรายงานจากนายจ้างเข้ามาเรื่อยๆ โดยล่าสุด ตัวเลขผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นแรงงานไทยอยู่ที่จำนวน 18 คน