วันที่ 15 ก.ย. ที่อาคารรัฐสภา ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 แถลงข่าวความคืบหน้าของการดำเนินงานในฐานะรองประธานสภาฯ และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายรัฐสภาโปร่งใสและสมรรถนะสูง ซึ่งจะแถลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 ก.ย. นี้ ทั้งแผนแม่บทที่สำเร็จ และแผนที่จะดำเนินการต่อไปในอนาคต
ปดิพัทธ์ ยังเผยว่า มีข่าวดีคือกำลังจะมีส่งมอบโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาอย่างเป็นทางการ โดยได้มีการเชิญกรรมการตรวจรับงานมาตรฐานเรื่องต่างๆ ในวันจันทร์ที่ 18 ก.ย. น่าจะมีการประชุมเพื่อตรวจรับงาน และถ้าทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี ไม่พบข้อบกพร่อง จะสามารถส่งมอบอาคารรัฐสภาอย่างเป็นทางการได้ภายในปลายเดือน ก.ย. นี้ โดยจะมีระยะเวลาประกัน 2 ปี ยังมีสิทธิ์แจ้งให้มีการปรับปรุงจุดต่างๆ ที่บกพร่องให้ตรงตามสัญญาได้
ทั้งนี้ ในวันที่ 10 ธ.ค. นี้ ซึ่งเป็นวันรัฐธรรมนูญ จะมีการจัดงานใหญ่ที่ลานประชาชน บริเวณใกล้เคียงอาคารรัฐสภา เพื่อให้ประชาชนมาฉลองร่วมกันเนื่องในโอกาสส่งมอบอาคารรัฐสภาเสร็จสมบูรณ์ จัมีการประกวดภาพถ่าย และเปิดพื้นที่ให้ประชาชนเข้ามาเยี่ยมชม หรือชุมนุมเพื่อเรียกร้องเรื่องต่างๆ ตามสิทธิเสรีภาพทางรัฐธรรมนูญ
สำหรับปัญหาเรื่องการทุจริตภายในโครงการก่อสร้างรัฐสภานั้น ปดิพัทธ์ ยอมรับว่า มีการร้องเรียนเข้ามาเยอะ แต่ยังไม่ได้หารือกับฝ่ายกฎหมาย ทั้งนี้ ก็ให้เป็นไปตามกระบวนการ
ปดิพัทธ์ ยังเผยว่า ตนเองมีกำหนดการที่จะเดินทางไปที่ประเทศสิงคโปร์สิงคโปร์ เพื่อศึกษารัฐสภาสิงคโปร์ที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี นำมาเป็นต้นแบบของการพัฒนารัฐสภาไทย รวมถึงศึกษาการแก้ไขปัญหาหมอกควันเพื่อช่วยเหลือประชาชนในภาคเหนือ และเยี่ยมเยียนคนไทยในสิงคโปร์ โดยเฉพาะกลุ่มแรงงาน ว่าได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างไร เช่นเดียวกับพบปะกับตัวแทนนักศึกษาไทยในมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS)
ปดิพัทธ์ ยังให้ความเห็นกรณี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวไกล เพื่อเปิดทางให้มีผู้ดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร จะมีผลสืบเนื่องมาสู่ตำแหน่งรองประธานสภาฯ หรือไม่ เนื่องจากเป็นยังเงื่อนไขที่ยังทำให้ไม่สามารถมีผู้นำฝ่ายค้านฯ ในส่วนของพรรคก้าวไกลได้
ต่อกรณีดังกล่าว ปดิพัทธ์ ระบุว่า จะต้องพูดคุยกับกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่เท่านั้น หลังจากหัวหน้าพรรคลาออก จะเป็นผลให้คณะกรรมการบริหารผ่านทั้งชุดพ้นจากตำแหน่งไปด้วย และพรรคก้าวไกลจะมีการประชุมใหญ่วิสามัญในเร็วๆ นี้ หลังจากเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ได้แล้ว จึงจะมีการหารือกันต่อไป
ส่วนความเป็นไปได้ที่พรรคก้าวไกลจะขับ ปดิพัทธ์ ออกจากพรรค แล้วไปสังกัดพรรคการเมืองอื่น เพื่อให้พรรคก้าวไกลสามารถรับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านได้ โดยที่ ปดิพัทธ์ ยังคงเป็นรองประธานสภาฯ อยู่ ปดิพัทธ์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีข้อจำกัดของรัฐธรรมนูญที่ประเทศอื่นไม่มี
"ผมได้รับเลือกตั้ง และได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นรองประธานสภาฯ ไม่ควรมีข้อจำกัดให้มาบีบให้เราต้องทำอะไรที่ไม่ตรงไปตรงมา ถ้าข้อจำกัดมีแบบนั้น และทางพรรคเห็นสมควรอย่างไร ก็เป็นเรื่องของพรรค ผมก็ทำงานของผมเต็มที่”
อย่างไรก็ตาม ปดิพัทธ์ ไม่ได้ตอบอย่างชัดเจนว่า ยินดีปฏิบัติตามมติของพรรคก้าวไกลหรือไม่ ต้องรอดูก่อนว่ามติเป็นอย่างไร และต้องคุยกับคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่เท่านั้น พร้อมยืนยันว่าสิ่งที่พรรคก้าวไกลตัดสินใจจะเป็นประโยชน์ไม่ใช่ต่อพรรคเองเท่านั้น เราคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ ดังนั้นปัจจัยเหล่านี้ เมื่อมาคิดรวมกันทั้งหมดจะมุ่งมั่นทำงานเต็มที่ได้