นายวัส ติงสมิตร ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวถึงแนวทางการทำงานของ กสม. ที่ผ่านมา และในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีการระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายและเป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้ได้รับเชื้อ ในขณะที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกันหรือยารักษาโรคโดยตรง ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม ถึงวันที่ 30 เมษายน 2563 พร้อมทั้งออกประกาศ มีคำสั่ง และออกข้อกำหนดและแนวปฏิบัติหลายประการ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาให้ยุติลงได้โดยเร็ว
สำหรับการแก้ไขการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่อุบัติขึ้นเมื่อปลายปี 2019 (พ.ศ.2562) จะกระทำให้สำเร็จได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลได้รับความร่วมมือจากประชาชนซึ่งมีจิตสำนึกในความรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน จากปัจจัย ดังนี้
1. รัฐบาลและองค์กรที่เกี่ยวข้องได้ให้องค์ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้อย่างแท้จริง เป็นเหตุให้ประชาชนเฝ้าระวังตนเอง และเว้นระยะห่างระหว่างกัน (Social Distancing) ไม่น้อยกว่า 1 เมตร อย่าอยู่ใกล้ชิดกัน ไม่ว่าจะเป็นคนที่รู้จักกันหรือไม่ก็ตาม
2. รัฐบาลและองค์กรที่เกี่ยวข้องพึงอำนวยความสะดวกให้ประชาชนผู้เจ็บป่วยได้เข้าถึงการคัดกรองตั้งแต่แรก สามารถร้องขอให้ตรวจเชื้อโรคนี้และรับการรักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคัดกรองเชื้อโรคนี้ด้วยชุดตรวจแบบรวดเร็ว (Rapid Test Kit) ซึ่งใช้งบประมาณน้อย หากผู้เจ็บป่วยได้ร้องขอให้ตรวจหาเชื้อโรคนี้ แต่ได้รับการปฏิเสธการตรวจ ผลสุดท้ายน่าจะเลวร้ายกว่าการรับตรวจให้เมื่อเทียบกับการที่รัฐต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคนี้ เนื่องจากหลุดจากการคัดกรองตั้งแต่แรก และนำไปสู่การแพร่เชื้อโรคต่อไปโดยไม่รู้ตัว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :