ไม่พบผลการค้นหา
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ยอมรับผิดปมหมิ่นประมาทนายสุเทพ กรณีโครงการก่อสร้างโรงพัก 396 แห่งทั่วประเทศ ทำให้เกิดความเสียหาย หวังศาลฎีกาลงโทษสถานเบา

เมื่อเวลา 11.00 น. ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค นายธนากร แวกวารี ทนายความของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) พร้อมด้วยนางจริณทิพย์ เกษรกุหลาบ เลขาฯ นายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด ร่วมแถลงข่าวกรณี “โรงพักร้าง 396 แห่ง”

นายธนากร กล่าวว่า ในฐานะทนายความของนายธาริต ขออ่านคำแถลงของนายธาริต เนื่องจากธาริตติดภารกิจ โดยเอกสารคำแถลงข่าวระบุว่า 

“กระผม นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ขอแถลงข่าวต่อสาธารณชนผ่านสื่อมวลชนว่า เมื่อครั้งผมดำรงตาแหน่ง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น ผมได้เคยแถลงข่าวและตอบคำถามสื่อมวลชน เมื่อระหว่างเดือน กุมภาพันธ์ – มีนาคม 2556 เกี่ยวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ว่า เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการยกเลิกและรวม สัญญาก่อสร้างโรงพัก 396 แห่งทั่วประเทศ เป็นสัญญาเดียว อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ผู้รับเหมาและยังได้แถลงข้อความอื่นๆ อีก

ซึ่งการแถลงข่าวของผมดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความเสียหายกับนายสุเทพฯ เป็นอย่างมาก ท่านจึงได้ยื่นฟ้องผม ฐานหมิ่นประมาท ที่ศาลอาญา เป็นคดีดำที่ อ.๔๙๕/๒๕๕๖ คดีแดงที่ อ.๑๑๖๖/๒๕๕๘ ศาลอาญา และศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ขออนุญาตฎีกาและได้รับอนุญาต ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา

บัดนี้ หลังจากได้พ้นตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว “ผมได้ทบทวนเรื่องราว ต่างๆ จึงพบว่าการแถลงข่าวของผมดังกล่าวเป็นการกระทำต่อนายสุเทพฯ โดยไม่บังควรเป็นการจาบจ้วงและละลาบละล้วงต่อท่าน ทั้งที่ท่านเคยเป็นผู้บังคับบัญชาและมีพระคุณอย่างมากต่อผม คำแถลงของผมมีลักษณะกล่าวหาและให้ร้ายต่อนายสุเทพฯ ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้วการออกคำสั่งของนายสุเทพฯ ดังกล่าว เป็นการกระทำตามข้อเสนอของผบ.ตร. ซึ่งเป็นข้าราชการประจำ โดยมีเหตุผลและที่มาที่ไปตามความเหมาะสมและจำเป็น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีดังกล่าว นายสุเทพฯ ยังไม่เคยถูกฟ้องและมีคำพิพากษาใดๆ ตัดสินว่าท่านได้กระทำผิดเลย รวมถึงกรรมการ ป.ป.ช. ก็ไม่ได้ชี้มูลว่าท่านกระทำผิดใดๆ

ผมจึงขอถือโอกาสนี้ แสดงความสำนึกผิดและขอกราบขอขมาลาโทษต่อนายสุเทพฯ โดยแถลงให้สาธารณชนทราบเป็นการทั่วไป และขอกราบขอบพระคุณ นายสุเทพฯ ที่จะได้เมตตา ยกโทษในคดีดังกล่าวต่อผมตามที่นายสุเทพฯ จะเห็นสมควรด้วย จึงขอแถลงมา เพื่อโปรดทราบโดยทั่วกัน”

อนึ่ง เนื่องจากคดีนี้เป็นที่สนใจของประชาชน ศาลฎีกาท่านจึงได้นัดอ่านคำพิพากษาว่าจะลงโทษผมหรือไม่ อย่างไร โดยจะอ่านคำพิพากษาที่ศาลฎีกาเลย ไม่ส่งไปอ่านที่ศาลอาญา เหมือนคดีทั่วๆ ไป ในวันที่ 14 ธันวาคม ศกนี้ เวลา 09.00 นาฬิกา

จึงขอเชิญสื่อมวลชน และผู้สนใจเข้ารับฟังด้วย ทั้งนี้ ในการเจรจาประนีประนอมยอมความระหว่างผมกับนายสุเทพ ฯ ซึ่งคดีนี้ เป็นความผิดต่อส่วนตัว สามารถยอมความกันได้ ทำนองคดี ว.๕ โฟร์ซีซั่น ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น ผมได้รับความกรุณาจาก นายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด ช่วยรับเป็นคนกลางในการเจรจากับนายสุเทพฯ ให้

ผลการเจรจานายคณิตฯ เล่าให้ฟังว่า นายสุเทพฯ บอกว่าไม่ติดใจเอาความโดยให้ผมทำหนังสือแสดงความสำนึกผิดและขอขมาลาโทษส่งไป ผมจึงได้จัดทำหนังสือส่งไป ซึ่งนายคณิตฯ เล่าว่า นายสุเทพฯ แจ้งพอใจแล้วยินดียกโทษให้ และขอมอบให้ฝ่ายทนายความที่มีนายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง กับนายสวัสดิ์ เจริญผล ดำเนินการขอให้นายคณิตฯ ติดต่อโดยตรง

แต่ขณะนี้การดำเนินการยังไม่ได้ข้อยุติ โดยทนายความทั้ง 2 อ้างบอกนายคณิตฯ ว่าที่ปรึกษากฎหมายมีความเห็นแตกต่างเป็น 2 ฝ่าย มีทั้งเห็นด้วยให้ถอนฟ้อง และไม่เห็นด้วย ให้ถอนฟ้อง จึงยังไม่ยุติ นายคณิตฯ จึงขอให้พิจารณาอีกครั้ง เพราะการเจรจาประนีประนอมยอมความเป็นเรื่องที่ดี และคดีนี้ก็เป็นความผิดต่อส่วนตัว ยอมความกันได้ เป็นตามนโยบายของศาลยุติธรรม และส่งเสริมหลักการปรองดองสมานฉันท์ของผู้คนในบ้านเมืองขณะนี้ นายสุเทพฯ เมื่อครั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีเอง ก็เคยขอให้นายคณิตฯ เป็นประธาน คอป. ทำเรื่องปรองดองระหว่างกลุ่มเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง

อย่างไรก็ดี แม้การเจรจาฯ จะมีแนวโน้มที่ดี แต่ผมไม่มีเวลาเหลือแล้ว เพราะศาลฎีกาจะอ่านคำพิพากษาวันที่ 14 ธันวาคม นี้แล้ว ผมจึงตัดสินใจยื่นขอให้การใหม่เป็นให้การ รับสารภาพตามฟ้อง เพื่อให้สอดคล้องกับ ที่ได้มีหนังสือสำนึกผิด และ ขอขมาลาโทษต่อ นายสุเทพฯ ไปแล้ว พร้อมทั้งส่งบันทึกรับรองข้อเท็จจริงผลการเจรจาประนีประนอมฯ ที่นายคณิตฯ ได้รับรองให้ตามที่กล่าวมา

โดยผมได้ยื่นต่อศาลด้วย และขอความเมตตา จากศาลฎีกาขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาไปอีก 60 วัน เพื่อการเจรจาจะได้แล้วเสร็จ แต่หากศาลฎีกาไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีก็ขอความกรุณาต่อศาลฎีกาลงโทษผมสถานเบาโดยรอการ ลงอาญาด้วย

“ผมยอมรับว่าในวันที่14 ธันวาคม นี้ ต้องลุ้นสุดๆ แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จะยกฟ้องผมแล้วก็ตาม แต่ศาลฎีกาก็อาจพิพากษากลับลงโทษผมได้ และผมอาจต้องสูญเสียอิสรภาพโดยถูกติดคุก นับเป็นวิกฤตของชีวิตช่วงหนึ่ง ขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกท่านที่ติดตามวิถีชีวิตของผมหลังการปฏิวัติที่มีแต่สิ่งเลวร้ายต่อเนื่องตลอดมา ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่อง ไม่เป็นธรรมกับผมทั้งสิ้น

ผมมั่นใจว่าในอดีตผมเป็นข้าราชการประจำทำงานอย่างมืออาชีพ และ ทำงานอย่างเต็มความสามารถให้กับทุกรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นเหลืองหรือแดง แต่คดีนี้ผมเชื่อมั่นและศรัทธาว่าศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลสูงสุดและเป็นที่พึ่งสุดท้าย ของประชาชนจะให้ความเป็นธรรมต่อกระผมด้วย”