ที่อาคารรัฐสภา นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ในฐานะอดีตกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และได้ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฎหมายดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ กล่าวถึงศาลรัฐธรรมนูญเตรียมมีคำวินิจฉัยต่อประเด็นดังกล่าวในวันที่ 30 พ.ย. นี้
โดย นพ.ระวี ระบุว่า มีโอกาส 50 ต่อ 50 ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะเห็นว่ากฎหมายเลือกตั้งแบบสูตรหารร้อยจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ พร้อมย้ำว่าสงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร แต่หากวินิจฉัยว่าไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็นับว่าจบไป นำมาสู่ระบบเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ สูตรหาร 100
อย่างไรก็ตาม หากศาลวินิจฉัยว่าสูตรหาร 100 ขัดต่อรัฐธรรมนูญจริงตามคำร้อง ก็อาจต้องถอยไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาล แต่คงไม่ถึงกับแก้ไขให้เป็นระบบบัตรใบเดียว ตนมองว่าเป็นไปได้ยาก อาจแก้เพียงบางมาตราที่เห็นว่าขัดแย้งกับสูตรคำนวณ หรืออาจไม่ต้องแก้รัฐธรรมนูญ แต่ปรับที่กฎหมายเลือกตั้ง
"เช่น สมมุติว่า ศาลวินิจฉัยว่ากระบวนการที่ทำให้สภาล่ม 4 ครั้ง ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ศาลอาจสั่งให้ถอยหลังไปเริ่มพิจารณามาตรา 24 ต่อ ถ้าแบบนี้เราก็ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ ขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของศาล" นพ.ระวี กล่าว
นพ.ระวี ย้ำว่า อยู่ที่รัฐสภาจะตัดสินใจว่า การแก้ไขนั้นจะใช้เวลามากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ตาม ก็มี 2 ความเป็นไปได้ หากศาลวินิจฉัยว่าผ่าน รัฐบาลก็อาจยุบสภาได้หลังปีใหม่ แต่หากศาลวินิจฉัยว่าไม่ผ่าน ก็ต้องมีกระบวนการแก้ไข จึงอาจทำให้การยุบสภาเกิดขึ้นในช่วง มี.ค. เลย เพื่อให้มีเวลาแก้
"แต่หากมีกระบวนการที่ยืดเยื้อ สมมุติว่าสูตรหาร 500 ผ่านมาแล้ว แต่มีคนไปยื่นว่า ขาดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 91 อีกอย่างนี้เสร็จไม่ทันแน่นอน สังคมยังมีทางออก คือก่อนยุบสภารัฐบาลออก พ.ร.ก.การเลือกตั้ง ดังนั้น ที่หลายคนมองว่ารัฐบาลจะอยู่รักษาการยาว เป็นไปไม่ได้ ต้องมีการเลือกตั้งตามกำหนด" นพ.ระวี กล่าว
ทั้งนี้ ในประเด็นของมาตราสืบเนื่องที่ว่าด้วย ส.ส.พึงมี หากกฎหมายออกมาเป็นสูตรหาร 100 พรรคใหญ่จะได้เปรียบ เช่น พรรคเพื่อไทยตนคาดว่าจะมี ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เพิ่มประมาณ 25-30 คน แต่หากออกมาเป็นสูตรหาร 500 โดยมี ส.ส.พึงมี จำนวน ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยจะลดลง แล้วไปโป่งที่พรรคก้าวไกล
ส่วนกรณีที่ วานนี้ (24 พ.ย.) ลูกพรรคพลังธรรมใหม่ได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร โดยกล่าวหาว่าตนมีพฤติกรรมเข้าข่ายการยักยอกเงินบริจาคพรรคการเมือง ประมาณ 2.6 ล้านบาท รวมถึงเงินเงินสมัครสมาชิกพรรคการเมืองอีกหลายราย
นพ.ระวี ยืนยันว่า ข้อกล่าวหาของลูกพรรค ไม่ใช่ความจริง เพราะพรรคพลังธรรมใหม่ ประกาศนโยบายคอร์รัปชันเป็นศูนย์ การทุจริตดังกล่าวจึงเป็นไปได้ยาก อีกทั้งระเบียบต่างๆ ก็มีเจ้าหน้าที่ของพรรคดูแลอยู่ทั้งหมด
"ลองคิดดู คนอย่างผมหรือจะมายักยอกเงิน 2 ล้านกว่าบาท การรับเงินบริจาคให้พรรคมีระเบียบเยอะแยะ ภายใน 15 วัน ต้องรายงานสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องทำประกาศหลายขั้นตอน"
นพ.ระวี ยังย้ำว่า พรรคพลังธรรมใหม่พร้อมรับการตรวจสอบตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบจากหน่วยงานต่างๆ ที่กลุ่มคนเหล่านี้อาจจะไปยื่น เช่น คณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. สภาผู้แทนราษฎร หรือ กกต. หรือ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
"ศึกนี้ยังอีกหลายวัน แต่ที่สำคัญ ผมสงสารสมาชิกพรรคพลังธรรมใหม่ที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง พูดสั้นๆ งานนี้เป็นการเมืองขนาดใหญ่ที่ต้องการล้มคนของท่านนายกฯ บอกได้แค่นี้"
นพ.ระวี ย้ำว่า ทุกอย่างในพลังธรรมโปร่งใสหมด แต่ตนยังไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัด ยังมีอีกหลายประเด็น คนทำพรรคเมืองจะรู้ดีว่าการเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ทุกข้อกล่าวล้วนเป็นความเท็จทั้งสิ้น พรรคพลังธรรมใหม่ยังไม่กล้าแม้จะประกาศเรี่ยไรเงินเข้าพรรคด้วยซ้ำ
เมื่อถามย้ำว่า เหตุใดจึงมองว่าเป็นเกมการเมือง นพ.ระวี ระบุว่า เป็นเรื่องเบื้องหลัง ไม่สามารถบอกมากกว่านี้ได้