นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ติดตามสถานการณ์หมอกควันไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด ผ่านระบบวิดีโอ คอนเฟอเรนซ์ ว่า ภาพรวมแนวโน้มสูงขึ้นจากช่วงเช้าที่ผ่านมาอยู่ในระดับสีแดงเพิ่มเป็น 15 พื้นที่และยังพบมีค่าฝุ่นอยู่ในระดับสีส้มอีก 11 พื้นที่ พบพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และน่านมีค่าฝุ่น PM2.5 และ PM10 สูงอันดับต้นๆ อยู่ในระดับสีแดงสูงสุดกว่า 200 - 300 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เนื่องจากสภาพอากาศลมอ่อนทำให้การระบายฝุ่นได้น้อยรวมถึงพบจุดความร้อน (Hotspot) เพิ่มขึ้นจำนวนมากทั้งในประเทศและนอกประเทศ จึงได้กำชับให้ 17 จังหวัดภาคเหนือ และกาญจนบุรีเร่งจัดการปัญหาไฟป่าและการเผาอย่างเด็ดขาด เพื่อให้จุดความร้อน (Hotspot) เป็นศูนย์ภายในสัปดาห์นี้
เบื้องต้นกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์บริเวณภาคเหนือได้รับอิทธิพลจากลมทิศตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางและอาจมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งช่วงสัปดาห์แรกของเดือน เม.ย. อาจช่วยให้ค่าฝุ่นละอองค่อยๆ ดีขึ้นได้
ทั้งนี้ ในส่วนของการเกิดไฟป่าในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย จ.เชียงใหม่ สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว แต่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการปะทุของไฟจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งและร้อนจัด หลังระดมเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันดับไฟทั้งภาคพื้นที่ดินและทางอากาศจนควบคุมไฟได้ จากการประเมินเบื้องต้นการเกิดไฟป่าระหว่างวันที่ 23 – 31 มี.ค. 2563 มีพื้นที่เสียหายทั้งหมด 13,700 ไร่ ไม่มีต้นไม้ใหญ่ได้รับความเสียหายมากนัก โดยจะเริ่มฟื้นฟูพื้นที่ดอยสุเทพ-ปุยช่วงฤดูฝนที่มีฝนแรกตกลงมาช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผืนดินและต้นไม่ที่เสียหายในป่าจากไฟไหม้ให้กลับคืนความสมบูรณ์
นายจตุพร กล่าวย้ำว่า จากการติดตามผู้ลักลอบเผาป่าสามารถจับกุมตัวดำเนินคดีได้ 7 คดี แบ่งเป็น เชียงใหม่ 6 คดี และเชียงราย 1 คดี โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งรัดคดีแล้วส่งดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป สาเหตุส่วนใหญ่เป็นการเผาในที่ดินของตนเองแล้วไฟไหม้ลุกลามไม่สามารถควบคุมได้ จึงเน้นย้ำขอผู้ที่ใช้ประโยชน์พื้นที่ในความรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชและกรมป่าไม้ และผู้ได้รับการจัดสรรที่ดินตามโครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน (คทช.) หากยังเกิดการเผาในพื้นที่จะยกเลิกสิทธิทันที
ข่าวที่เกี่ยวข้อง