ไม่พบผลการค้นหา
เจ้าชายแฮร์รี และเมแกน มาร์เคิล เผยหมดเปลือกพระเด็นความยากลำบากการดำเนินชีวิตที่ถูกจำกัดในฐานะพระบรมวงศ์ ในการประทานสัมภาษณ์แรกกับ 'โอปรา วินฟรีย์' พิธีกรผู้ทรงอิทธิพล คาดกวาดค่าโปรดักชันราว 221-277 ล้านบาทจากการสัมภาษณ์ครั้งนี้

เจ้าชายแฮร์รี และเมแกน มาร์เคิล ดยุกและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ ประทานสัมภาษณ์ครั้งสำคัญ กับหนึ่งในพิธีกรที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในวงการสื่อของสหรัฐฯ อย่าง โอปราห์ วินฟรีย์ ซึ่งถูกเผยแพร่ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่อง CBS ในสหรัฐฯ และทางช่อง ITV ของอังกฤษ โดยในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกหลังจากทั้งสองพระองค์ประกาศยุติบทบาทการเป็นพระบรมวงศ์ชั้นสูงของราชวงศ์อังกฤษ ทรงย้ายมาพำนักที่แคลิฟอร์เนีย และทรงยุติการประกอบพระกรณียกิจอย่างถาวร 

ดัสเชสแห่งซัสเซกซ์ เริ่มการสัมภาษณ์ด้วยการย้อนรำลึกความทรงจำในงานพิธีเสกสมรสกับเจ้าชายแฮร์รี ที่พระราชวังวินเซอร์ เมแกนเผยถึงความรู้สึกในวันนั้นว่า เหมือนวิญญาณจะออกจากร่าง เพราะงานเสกสมรสที่ไม่ใช่วันของทั้งสอง แต่เป็นวันที่เตรียการไว้เพื่อคนทั้งโลก เธอเข้าพิธีเสกสมรสกับเจ้าชายแฮร์รี่ในพิธีแบบส่วนตัวเมื่อ 3 วัน ก่อนหน้าที่จะมีพิธีสำคัญถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ซึ่งครั้งหนึ่ง เธอเคยถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์อังกฤษในยุคใหม่

AFP - เจ้าชายแฮร์รี เมแกน ราชวงศ์อังกฤษ

โอปราห์ ได้ถามเธอถึงความรู้สึกแรกเมื่อต้องแต่งงานเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ว่า เธอไม่เคยค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าชายแฮร์รี่ และไม่เคยรู้เรื่องราชวงศ์อังกฤษมาก่อน เจ้าชายเป็นผู้บอกทุกอย่างที่เธอต้องรู้เอง ซึ่งนั่นเธอมองว่าเป็นเรื่องดีเพราะการไม่ค้นคว้าอะไรเลย ทำให้เธอไม่ต้องรู้สึกเกรงหรือกังวลเมื่อต้องพบกับสมาชิกราชวงศ์พระองค์อื่นๆ โดยในครั้งแรกที่เธอต้องเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เมแกนบอกว่าเป็นเข้าเฝ้าอย่างไม่เป็นทางการ แต่เจ้าชายก็ทำให้เธอประหลาดใจด้วยการตรัสถามว่า ถอนสายบัวเป็นหรือไม่ โดยเธอเข้าใจว่าการเคารพแบบนี้้จะเกิดขึ้นเฉพาะอยู่ต่อหน้าสาธารณะเท่านั้น ไม่คิดว่าจะต้องกระทำเมื่ออยู่เป็นการส่วนตัวภายในครอบครัว เธอจึงต้องซ้อมการถวายความเคารพด้วยการถอนสายบัวก่อนเข้าเฝ้า 

"สมเด็จพระราชินีฯ ทรงแอบอุ่นและยินดีต้อนรับฉันเสมอ ฉันคิดว่าพระราชวงศ์ทุกพระองค์ก็เช่นกัน" เธอเผยถึงความรู้หลังเข้าเฝ้าครั้งแรก

เมื่อถูกถามถึงชีวิตในฐานะสมาชิกราชวงศ์หลังแต่งงาน เธอบอกว่า ในตอนแรกเธอยังไม่เข้าใจถึงความหมายของการเป็น 'พระราชวงศ์' ที่ต้องทรงงาน ซึ่งไม่อาจรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในแต่ละวัน "ทุกย่างก้าวคุณถูกตัดสินจากภาพที่คุณมอง แตกลับต้องอยู่กับความจริงที่ไม่เหมือนเจ้าหญิงในเทพนิยาย"


ความปวดร้าวเกี่ยวกับ 'พระโอรส'

เมแกน มาร์เคิล เผยถึงประเด็นที่ไม่เคยมีการเปิดเผยกับที่ใดมาก่อนอย่างเรื่องของ ความคิดที่จะปลิดชีพตัวเอง เธอยอมรับว่าช่วงที่ยังมีบทบาทในราชวงศ์เธอถูกประโคมข่าวอยู่ตลอดเวลา เธอว่ามันเป็นความคิดที่น่ากลัวมากและเธอไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ ชีวิตในรั้วพระราชวังเป็นชีวิตที่โดดเดี่ยว ห่างเหิน และขาดการช่วยเหลือสนับสนุนอย่างมากจนทำให้เธอเครียดจนคิดจะฆ่าตัวตาย เมแกนเล่าว่าเธอเคยต้องการที่จะปิดเรื่องนี้ไว้ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจบอกเจ้าชายแฮร์รี "ตอนนั้นฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้วจริงๆ" ภายหลังจากที่เมแกนเผยความลับเรื่องนี้กับเจ้าชายแฮร์รี พระองค์ตรัสว่า "กำลังอยู่ในจุดที่มืดหม่นที่สุดเช่นกัน" โดยเธอยอมรับว่ายังได้ติดต่อกับพระสหายคนหนึ่งของเจ้าหญิงไดอานาด้วย 

เมแกนยังเล่าว่าเธอถูกราชวงศ์ปิดปากไม่ให้ให้ข่าวกับสื่อในช่วงที่เริ่มคบหากับเจ้าชายแฮร์รี เธอคิดว่านั่นคือสิ่งที่ทำเพื่อปกป้องตัวเธอเอง แต่หลังจากพิธีอภิเษกสมรสก็เริ่มสัมผัสว่าทุกอย่าเลวร้ายลง เพราะจริงๆแล้วรางวงศ์โกหกเพื่อปกป้องกันเอง ไม่ใช่เมแกนและเจ้าชายแฮร์รี

"ทันทีที่เราแต่งงาน ทุกอย่างก็เริ่มเลวร้ายลง ฉันเริ่มเข้าใจว่าไม่ได้เป็นคนที่ถูกปกป้องเลย พวกเขายินดีจะพูดโกหกเพื่อปกป้องสมาชิกพระราชวงศ์พระองค์อื่นๆ แต่ไม่ต้องการพูดความจริงเพื่อปกป้องฉันกับเจ้าชาย" เมแกนกล่าวถึงคนในราชวงศ์อังกฤษว่าไม่เพียงไม่ปกป้องเธอจากการถูกกล่าวหาเท่านั้น แต่ยังเลือกที่จะ 'โกหก' เพื่อปกป้องคนอื่นด้วย

เจ้าชายแฮร์รีและเมแกนเผยเรื่องราวที่น่ากังวลใจเกี่ยวกับประเด็น การเหยียดสีผิวที่เกิดขึ้นในราชวงศ์ เมื่อช่วงตั้งครรภ์เจ้าชายแฮร์รี่มาเล่าให้ฟังว่าสมาชิกพระราชวงศ์องค์อื่นในวังกังวลว่าพระโอรสจะออกมาเป็นผิวดำ โดยเมแกนกล่าวว่า ' อาร์ชี เมานต์แบ็ตเทน-วินด์เซอร์ ' จะไม่ตำแหน่งบรรดาศักดิ์รวมถึงความปลอดภัยใดๆ ส่งผลให้เธอเครียดมาก ขณะที่เจ้าชายแฮร์รีทรงยืนยันว่านี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น แต่ทรงปฏิเสธที่จะเปิดเผยว่าบุคคลที่กล่าวแนวคิดเช่นนั้นเป็นใคร และมีการพูดคุยกันอย่างไรหลังจากนั้น

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นที่ทราบกันนานแล้วว่า อาร์ชี จะไม่ได้รับบรรดาศักดิ์ใดๆ เพื่อจากตามระเบียบของราชสำนัก เฉพาะทายาทคนโตของผู้เป็นมกุฎราชกุมารเท่านั้นที่จะได้รับฐานันดรศักดิ์โดยอัตโนมัติ นั่นหมายถึง พระโอรสและพระธิดาของเจ้าชายวิลเลียมกับดัชเชสแคทเทอรีน ประกอบกับการให้ฐานันดรศักดิ์แก่สมาชิพระราชวงศ์ที่กำเนิดใหม่ จะยิ่งทำให้ราชวงศ์มีขนาดใหญ่เกินไปซึ่งจะกระทำต่อภาษีของประชาชน 

ปมความขัดแย้งกับพระบรมวงศ์ เมแกนเผยว่าแม้เธอจะได้รับการต้อนรับอย่างดีจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และสมาชิกราชวงศ์พระองค์อื่นๆ แต่เธอกลับได้รับความช่วยเหลือและคำแนะนำน้อยมาก ขณะเดียวกันเมื่อเธอต้องเผชิญกับ 'ความคิดที่จะฆ่าตัวตาย' เธอร้องขอความช่วยเหลือจากทางราชวงศ์ แต่กลับถูกปฏิเสธ

นอกจากนั้นเมแกนยังปฏิเสธด้วยว่าเธอไม่ได้ทำให้ แคเธอริน ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ ต้องร้องไห้ในวันอภิเษกสมรสของเมแกนและเจ้าชายแฮร์รี เพราะความจริงที่เกิดขึ้นคือเรื่องตรงกันข้าม เรื่องความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เมแกนเองต้องเป็นคนเสียน้ำตา แต่ท้ายที่สุดแล้วเคทได้ขอโทษและเรื่องราวก็จบลง

อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่างเจ้าชายแฮร์รีและพระบิดา เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ รัชทายาทแห่งราชบัลลังก์อังกฤษ ก็ทรงได้ยุติการให้ความช่วยเหลือทางการเงินและทรงไม่ยอมรับสายโทรศัพท์จากเจ้าชายแฮร์รีอีกต่อไปครั้งที่มีข่าวการลดบทบาทการเป็นสมาชิกราชวงศ์ชั้นสูงของอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองพระองค์กลับมาพูดคุยกันอีกครั้ง และเจ้าชายแฮร์รีก็ทรงมีพระปรงสงค์ที่จะผสานรอยร้าวของความสัมพันธ์ให้สำเร็จ

"ผมรู้สึกผิดหวังอย่างมาก พระองค์เคยผ่านประสบการณ์ที่คล้ายคลึงมา พระองค์น่าจะรู้ว่าความเจ็บปวดมันเป็นอย่างไร และอาร์ชีก็เป็นหลานแท้ๆด้วยซ้ำ" เจ้าชายแฮร์รีตรัสถึงพระบิดา


ไดอานา


อิทธิพลจาก 'เจ้าหญิงไดอานา' ยังคงอยู่

สถานการณ์ของเจ้าชายแฮร์รี และเมแกน ทำให้หลายคนหวนนึกถึงความขัดแย้งระหว่าง 'สมาชิกใหม่ของราชวงศ์' กับ 'พระบรมวงศ์' ที่ต้องเผชิญช่วงทศวรรษ 1990 โดยมี เจ้าหญิงไดอานา ผู้ล่วงลับยืนอยู่ใจกลางความขัดแย้งและความสนใจทั้งปวง และภาพยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อเจ้าชายแฮร์รีทรงเผยกับวินฟรีย์ระหว่างการประทานสัมภาษณ์ว่าพระองค์ถูกตัดการช่วยเหลือทางการเงินอย่างสิ้นเชิงจากครอบครัว โดยทรงต้องพึ่งเงินมรดกที่พระมารดาผู้ล่วงลับฝากไว้ให้ 

เมื่อพูดถึงเจ้าหญิงไดอานา เจ้าชายแฮร์รีทรงกล่าวถึงพระมารดาว่า ที่ทรงสละฐานันดรศักดิ์ออกจากการเป็นสมาชิกราชวงศ์เนื่องจากพระองค์เกรงว่าประวัติศาสตร์จะ 'ซ้ำรอย' กรณีพระมารดา โดยดยุกแห่งซัสเซกซ์ทรงเผยว่า ยังเคารพรักสมเด็จย่าของพระองค์อยู่เสมอ

เจ้าชายแฮร์รีทรงอธิบายว่า พระองค์กังวลประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยและครั้งนี้อันตรายกว่าสถานการณ์ของเจ้าหญิงไดอานา เพราะมิติทางชาติพันธุ์ของผู้เป็นพระชายา ประกอบกับกระแสข่าวของสื่อออนไลน์มาเกี่ยวข้อง โดยทรงเผยว่าทั้งพระองค์ เจ้าชายวิลเลียม พระเชษฐา และเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ พระบิดา "ทรงติดหล่ม" ของระบบและสภาพแวดล้อมอันคร่ำครึของราชสำนัก 

"เมื่อก่อนผมติดอยู่ในกรงขังที่ไม่มีทางออกอยู่แล้ว พ่อกับพี่ชายผมก็เช่นกัน พวกเขาขยับไปไหนไม่ได้ ซึ่งทำให้ผมก็เห็นใจอย่างมาก"

เจ้าชายทรงอธิบายถึงสถานการณ์นี้ว่า ต่างกับพระมารดาเพราะมีเรื่องเชื้อชาติและสีผิวมากเกี่ยวข้องด้วย ทางราชวงศ์มีโอกาสแสดงการสนับสนุนต่อต้านแนวคิดเหยียดสีผิว แต่กลับไม่ทำหรือไม่มีใครพูดอะไรเลยตลอดระยะเวลา 3 ปี นี่เป็นเรื่องที่พระองค์รู้สึกเจ็บปวดมาก

"สิ่งที่ผมเหลืออยู่ก็คือสิ่งที่แม่ทิ้งไว้ให้ หากไม่มี เราก็คงไม่สามารถผ่านมาถึงจุดนี้ได้ แม่คงเห็นว่ามันจะต้องเกิดขึ้นอีกแน่ ผมรู้สึกว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาแม่อยู่กับผมเสมอ"

บาดหมางสื่อ

พิธีกรดัง ยังได้ถามถึงกรณีความบาดหมางระหว่างเมแกนกับแคเทอรีน ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ โดยเธอเผยว่า เมแกนเผยว่าหลายครั้งที่แท็บลอยด์อังกฤษพยายามนำเสนอข่าวทั้งสร้างภาพเธอให้เป็นนางเอกและนางร้าย เช่นกรณีที่มีรายงานข่าวว่าดัชเชสเคททำเธอร้องไห้เรื่องชุดของเด็กหญิงในพิธีเสกสมรส ซึ่งมีข่าวว่าเมแกนทำให้ดัชเชสเทอรีนต้องเสียน้ำตานั้นไม่จริงเลย แต่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงนั้นกลับ 'ตรงกันข้าม' เธอเองที่เป็นฝ่ายต้องร้องไห้ ซึ่งภายหลังแคเทอรีนได้แสดงการขอภัยเธอในเวลาต่อมา เธอไม่อยากเผยเรื่องนี้เพราะดัชเชสแคเทอรีนเป็น 'คนดี'

ทั้งนี้ ดยุกและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ เผยในรายการว่าหลังจากที่เคยแท้งไปก่อนหน้านี้ เจ้าชายแฮร์รี่และเมแกนประกาศว่าลูกคนที่สองซึ่งเมแกนกำลังตั้้งครรภ์และใกล้ลืมตาดูโลกในอีกไม่นานนี้จะเป็นทายาทหญิง แต่ยังไม่ได้เผยว่าจะใช้ชื่อใด

สำหรับเจ้าชายแฮร์รีและพระชายายุติการปฏิบัติพระกรณียกิจในฐานะเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงตั้งแต่เมื่อต้นปีที่แล้ว ก่อนย้ายไปใช้ชีวิตใหม่ในแคนาดาและสหรัฐฯ โดยให้เหตุผลว่าต้องการประกอบอาชีพเยี่ยงสามัญชนทั่วไป เพื่อมีอิสรทางการเงินมากขึ้น