ผู้นำญี่ปุ่นส่งสัญญาณแสดงความสนใจอยากเข้าร่วมโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ของจีน แต่มีข้อแม้ว่าการดำเนินงานก่อสร้างต้องมีความโปร่งใส และไม่เอาเปรียบประเทศอื่น
นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นประกาศว่ารัฐบาลญี่ปุ่นพร้อมขยายความร่วมมือกับจีนเกี่ยวกับโครงการ One Belt One Road หรือเส้นทางสายไหมใหม่ ซึ่งเป็นอภิมหาโปรเจ็กของจีนมูลค่ากว่า 124,000 ล้านดอลลาร์ ที่จะขยายการเชื่อมต่อจีนให้เข้าถึงทุกพื้นที่ในเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา ด้วยการสร้างถนน เส้นทางเดินรถไฟ และเส้นทางเดินเรือ แต่ถึงแม้รัฐบาลญี่ปุ่นแสดงความต้องการที่จะมีส่วนร่วมกับโครงการนี้ แต่ก็มีข้อแม้ว่าการดำเนินการของโครงการนี้ต้องมีความโปร่งใส และส่งเสริมผลประโยชน์ของประเทศที่เกี่ยวข้องทุกประเทศ
บางประเทศมีความกังวลว่าโครงการนี้คือแผนขยายอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจของจีนเพื่อครอบงำเอเชีย ซึ่งก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ในช่วงแรก นายอาเบะไม่ได้แสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ แต่ว่าหลังจากศึกษารายละเอียดของโครงการอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็พบว่าโครงการนี้มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ในเอเชียตะวันออกไกล เพราะจะช่วยเชื่อมต่อญี่ปุ่นเข้ากับเอเชียฝั่งตะวันตกและทวีปยุโรป รวมทั้งประเทศต่างๆที่อยู่ระหว่างเส้นทาง
เงื่อนไขสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ญี่ปุ่นเรียกร้องคือญี่ปุ่นต้องการให้เส้นทางสายไหมใหม่นี้เอื้อประโยชน์ต่อข้อตกลง TPP หรือข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก ที่รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพยายามผลักดันให้เกิดขึ้น โดยนายอาเบะยังแสดงความมั่นใจเต็มเปี่ยมเกี่ยวกับข้อตกลง TPP แม้สหรัฐฯจะประกาศถอนตัวออกไปเรียบร้อยแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ที่จะผลักดันข้อตกลงนี้ต่อไป
ก่อนหน้านี้ นายอาเบะยังเคยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการเส้นทางสายไหมใหม่นี้ว่า โครงการใหญ่ขนาดนี้ต้องไม่ใช้วัตถุดิบก่อสร้างถูกๆและไม่ได้มาตรฐาน โดยการก่อสร้างต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่าและประโยชน์ในการใช้งานในระยะยาว
สังเกตว่านอกจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะประสบกับปัญหาชะลอตัวมานานหลายปีแล้ว อิทธิพลของญี่ปุ่นในภูมิภาคเอเชียก็ถดถอยลงไปด้วย ขณะที่จีนแผ่ขยายอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจครอบคลุมเอเชียมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้รัฐบาลสหรัฐฯภายใต้การนำของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็มีท่าทีที่เป็นมิตรต่อจีน และมีแผนจะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในหลายๆด้าน และหากสหรัฐฯซึ่งเป็นชาติพันธมิตรที่สำคัญกับญี่ปุ่นหันไปคบค้ากับจีนมากขึ้น ก็จะทำให้ญี่ปุ่นขาดตัวช่วยในการเจรจาต่อรองเกี่ยวกับพื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้และทะเลจีนตะวันออก
การประกาศว่าญี่ปุ่นสนใจเข้าร่วมโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ของนายอาเบะ ยังเกิดขึ้นในช่วงขณะเดียวกันกับที่มีการคาดการณ์ว่าสหรัฐฯ กำลังพิจารณาที่จะเข้าร่วมกลุ่มธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย หรือชื่อย่อ AIIB (Asian Infrastructure Investment Bank) ซึ่งหากสหรัฐฯเข้าร่วมจริงก็จะเป็นการสร้างแรงกดดันให้ญี่ปุ่นต้องเข้าร่วมด้วย ซึ่งธนาคาร AIIB ที่จีนเป็นผู้ริเริ่มและถือหุ้นใหญ่นี้จะเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับการลงทุนด้านการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับเส้นทางสายไหมใหม่ ตลอดจนการพัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างประเทศต่างๆ และธนาคาร AIIB นี้จะขึ้นมาเทียบชั้นกับ ธนาคาร Asian Development Bank (ADB) ที่ริเริ่มโดยญี่ปุ่น โดยขณะนี้ สหรัฐฯและญี่ปุ่นเป็นเพียง 2 ประเทศที่เหลือในกลุ่ม G7 ที่ยังไม่ได้ลงนามเข้าร่วมกลุ่มธนาคาร AIIB
นายอาเบะเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาจะพิจารณาการเข้าร่วมกลุ่มกับธนาคาร AIIB ก็ต่อเมื่อมีข้อมูลชัดเจนว่าโครงการเส้นทางสายไหมใหม่จะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างปัญหาด้านอื่นๆ
เมื่อวานนี้ (7 มิถุนายน) นายอาเบะได้พบกับนายหยาง เจีย ฉือ มุขมนตรีจีน ในกรุงโตเกียว และตกลงร่วมกันที่จะจัดให้มีการประชุมนอกรอบระหว่างผู้นำญี่ปุ่นและผู้นำจีน ในการประชุมของผู้นำ 20 ประเทศที่จะมีขึ้นในเยอรมนี ในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งนอกจากทั้ง 2 ฝ่ายจะพูดคุยเรื่องความร่วมมือของญี่ปุ่นในโครงการเส้นทางสายไหมใหม่แล้ว ยังจะมีการพูดคุยเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือด้วย และในสิ้นปีญี่ปุ่นก็จะจัดการเจรจาไตรภาคีระหว่างจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นด้วย