เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังการประกวดสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของแอมะซอน ซึ่งพิจารณากันอยู่นานกว่า 1 ปี จาก 238 เมือง ใน 54 รัฐ สุดท้ายบริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจปักหมุดอยู่ 2 แห่งคือ เมืองลองไอส์แลนด์ มหานครนิวยอร์ก และเมืองคริสตอลซิตี้ ตอนเหนือของมลรัฐเวอร์จิเนีย
แอมะซอน บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่อันดับหนึ่งของโลก ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองซีแอตเทิล ในมลรัฐวอชิงตัน ได้ตัดสินใจเลือกสร้างสำนักงานใหญ่แห่งที่สองไว้ 2 แห่ง คือที่เมืองลองไอส์แลนด์ในนครนิวยอร์ก และที่เมืองคริสตอลซิตี้ในรัฐเวอร์จิเนีย โดยจะใช้เงินลงทุนราว 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1 แสน 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทำเงินให้บริษัทได้มากกว่าปีละ 6 หมื่น 5 พันล้านบาท โดยแต่ละสำนักงานจะมีพนักงานมากกว่า 25,000 คน ซึ่งจะเริ่มเปิดรับสมัครงานในปีหน้า
นอกจากนั้น เมืองแนชวิลล์ของรัฐเทนเนสซี ได้รับเลือกให้เป็นสถานที่ตั้งของสำนักงานแอมะซอนแห่งใหม่ที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ที่อยู่นอกเมืองซีแอตเทิล โดยจะเปิดรับพนักงานกว่า 5,000 ตำแหน่ง ซึ่งเน้นด้านเทคโนโลยีและการจัดการ เพื่อดูแลธุรกิจค้าปลีกโดยเฉพาะ
หลายเดือนที่ผ่านมาในช่วงของการตัดสินใจ แอมะซอนเคยระบุเกณฑ์พื้นฐานหลายประการสำหรับการคัดเลือกสถานที่ตั้งอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ไว้อย่างชัดเจน เช่น ต้องอยู่ใกล้สนามบินขนาดใหญ่ ต้องอยู่ในเขตเมือง หรือไม่เกินชานเมืองในตำแหน่งที่มีประชากรมากกว่า 1 ล้านคน บรรยากาศเอื้อต่อการทำธุรกิจ และเพียบพร้อมด้วยระบบขนส่งมวลชน
แน่นอนว่า เมืองใหญ่ที่มีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานครบครัน มักเปี่ยมด้วยแรงดึงดูดมหาศาลต่อองค์กรชั้นนำ อย่างเช่นกรณีของมหานครนิวยอร์ก ซึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งกูเกิล และเฟซบุ๊ก ได้เข้ามาจับจองสถานที่เรียบร้อยแล้ว รวมถึงสำนักงานใหญ่เป็นอันดับ 2 ของทวิตเตอร์ก็ตั้งอยู่ในเกาะแมนฮัตตันของนิวยอร์กซิตีด้วยเช่นกัน
โดยหลังจากการรอคอยอันยาวนาน โปรเจกต์ใหญ่ของแอมะซอนตัดสินใจปักหมุดอยู่ 2 แห่งในสถานที่ที่กล่าวไปข้างต้น พร้อมกับมอบคำมั่นสัญญากับท้องถิ่นเรื่องการดึงอาชีพ และนำภาษีจำนวนมากเข้าสู่เมือง โดยคาดหวังการสร้างงานมากถึง 50,000 ตำแหน่งเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม อาคารสำนักงานใหญ่ของแอมะซอนกลับเกิดเสียงวิจารณ์ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานของท้องถิ่น มูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ และช่องว่างทางรายได้ที่กำลังขยายใหญ่ขึ้น เห็นได้ชัดจากบทเรียนที่เกิดขึ้นในนครซีแอตเทิลของมลรัฐวอชิงตัน สถานที่ตั้งของสำนักงานใหญ่แห่งแรกของแอมะซอน ซึ่งทำให้ราคาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์กระโดดขึ้นสูงถึง 73 เปอร์เซ็นต์ และราคาสำหรับเช่าเพิ่มขึ้น 31 เปอร์เซ็นต์ ภายในเวลาเพียง 5 ปีเท่านั้น
ไมเคิล คิมเมลแมน นักเขียนชาวอเมริกัน เจ้าของรางวัลพูลิตเซอร์บอกว่า อุตสาหกรรมเทคโนโลยีไม่ใช่วัฒนธรรมของสังคมเมือง แต่มัน���ือความโดดเดี่ยว เป็นกำแพงขวางกั้นเสรีนิยม และขัดขวางอัลกอริทึมของพัฒนาการ ทั้งยังระบุเพิ่มเติมว่า สำหรับนิวยอร์ก เทคโนโลยีเป็นแค่ส่วนหนึ่งของมหานครที่ต้องแบ่งปันความสนใจจากสังคมมากจากธุรกิจอื่น ๆ อย่างเช่น การเงิน สื่อ แฟชั่น โฆษณา และศิลปะ
ในนครซานฟรานซิสโก อีกหนึ่งเมืองหลวงของเทคโนโลยี ทางมลรัฐมีข้อเสนอบางอย่างที่น่าสนใจสำหรับคนในชุมชน พวกเขาออกความคิดว่า บริษัทที่เพิ่งก่อตั้งไม่ควรมีโรงอาหารพนักงาน โดยให้เหตุผลว่า วิศวกร และนักเขียนโค้ด ไม่เคยออกจากห้องทำงานของตัวเอง เพื่ออุดหนุนร้านอาหารท้องถิ่น ทำให้ไม่เกิดการไหลเวียนของเศรษฐกิจ
คล้ายคลึงกันกับในซีแอตเทิลที่บริษัทชั้นนำต้องเจอกับความวุ่นวายครั้งใหญ่ เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐเสนอให้พวกเขาเสียภาษีเพิ่มเติม เพื่อนำมาช่วยเหลือคนจรจัด จนทำให้การก่อสร้างสำนักงานบางแห่งต้องหยุดชะงัก
อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของทุนใหญ่ทำให้บรรยากาศหลายอย่างในเมืองเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น เอริก คลิเนนเบิร์ก นักสังคมวิทยาที่ทำงานกับมหาวิทยาลัยนิวยอร์กบอกว่า ในฐานะเจ้าตลาดของหนังสือ แอมะซอนสามารถเลือกทางเดินที่เป็นประโยชน์กับตัวเองได้ เช่น การสนับสนุนห้องสมุดสาธารณะ หรือโรงเรียนในท้องถิ่น เพื่อทำให้ชุมชนมีชีวิตชีวามากขึ้น
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแนวโน้มที่ราคาของอสังหาริมทรัพย์ของทั้งเมืองลองไอส์แลนด์ในนครนิวยอร์ก และที่เมืองคริสตอลซิตี้ในรัฐเวอร์จิเนีย 2 สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของแอมะซอนจะเพิ่มสูงขึ้น ดังเช่นที่เคยเป็นมาในเมืองต่าง ๆ ที่บริษัทเทคโนโลยีเข้าไปก่อตั้ง ซึ่งแน่นอนว่าผู้คนในนิวยอร์กและเวอร์จิเนียจะได้รับผลกระทบโดยตรงในเรื่องของค่าครองชีพที่น่าจะโตตามไปด้วย โดยเฉพาะค่าเช่าบ้านที่จะพุ่งสูงขึ้น ซึ่งนั่นหมายความว่า เจ้าของบ้านเช่าต่างจะได้รับผลประโยชน์จากกรณีนี้ไปเต็ม ๆ