ไม่พบผลการค้นหา
'เพื่อไทย' ยันอภิปราย 152 บรรลุเป้าหมาย เหตุชี้เป้าความล้มเหลว 4 ด้านของ ‘ประยุทธ์’ ให้ประชาชนตัดสินในการเลือกตั้ง ยิ่งอยู่ต่อยิ่งพังไปอีก 8 เรื่อง ทั้งการค้า การลงทุน การต่างประเทศ

วันที่ 21 ก.พ. 2566 ที่พรรคเพื่อไทย ในการเสวนา “คำถามที่ประยุทธ์ตอบไม่ได้ ทำไมถึงอยากไปต่อ” โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ดำเนินรายการโดย อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย 

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ประเด็นที่เราอภิปรายเป็นการสอบถามข้อเท็จจริง หรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่มีการลงมติ แต่เราทำเหมือนการลงมติซึ่งการลงมติไม่ใช่ ส.ส. ในสภา แต่คือประชาชนที่จะลงมติในการเลือกตั้งต่อไปว่าจะยอมให้คณะรัฐมนตรีชุดเดิมมาบริหารบ้านเมืองต่อไปหรือไม่ สิ่งที่เราอภิปรายคือสิ่งที่รัฐบาล คสช. เคยทำมา และกรอบที่เราใช้อภิปรายคือ การไม่ปฏิบัติตามนโยบาย และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชน ประเด็นที่เราเสนอ เราเขียนญัตติยาวมาก แต่สรุป 4 เรื่องหลักๆ

1. การเมืองยุคประยุทธ์คือการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยเงินสดหรือธนกิจการเมือง มีการใช้เงิน หรืออำนาจเพื่อสืบทอดอำนาจ 

2. มิติทางเศรษฐกิจที่กระทบต่อประชาชนจากการบริหารผิดพลาดใน 8 ปี ไม่ว่าจะเรื่องค่าจ้างแรงงาน หรือเรื่องพลังงาน หนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน

3. ปัญหายาเสพติดที่ส่งผลไปยังมิติเชิงสังคม กลายเป็น เครื่องมือสำคัญในการแสวงหารายได้จากการทุจริตคอร์รัปชั่น และการส่งส่วยเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ

4. มิติเชิงสังคม ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ทุนจีนสีเทา จนส่งผลไปยังภาคการเกษตร ทำให้เกษตรกรไทยกลายเป็นลูกไล่กินน้ำใต้ศอก

นพ.ชลน่าน กล่าวถึงการตอบข้อสงสัยของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่า เป็นการตอบแบบโต้วาทีทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ขาดโอกาส แทนที่จะเอาข้อมูลมาชี้แจง และมั่นใจว่า ในการเลือกตั้งคราวนี้ พรรคฝ่ายค้านที่นำอภิปราย อาทิ พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล และฝ่ายค้านทั้งหมดจะได้คะแนนถล่มทลาย โชคดีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เข้าสู่สนามการเมือง ตนก็ขอภาวนาให้อยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับที่หนึ่ง ขอเพียงแค่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ อย่าเพิ่งถอดใจ เพราะถ้าถอดใจไปก่อน จะต้องคิดวิธีหาเสียงใหม่

997575.jpg

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เป้าหมายสุดท้ายคือความผาสุกของประชาชน ฝ่ายค้านตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อให้คณะรัฐมนตรีไปทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อความกินดีอยู่ดี และอนาคตของพี่น้องประชาชน เพราะฉะนั้นเวลาที่เหลืออยู่ในรัฐบาลชุดนี้แล้วรักษาการก่อนที่รัฐบาลชุดใหม่จะเข้าถวายสัตย์ทำหน้าที่ อยากให้รัฐบาลนำข้อเท็จจริงและข้อเสนอแนะปัญหาที่เราชี้ให้เห็นไปทำเพื่อพี่น้องประชาชนให้เขาได้มีโอกาส

ด้าน จาตุรนต์ กล่าวว่า สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ทำผิดพลาดไป และทำต่อไปจะไม่มีทางแก้ไขได้เลย หนึ่งในนั้นคือ การต่างประเทศซึ่งประเทศไทยร่วมมือกับใครไม่ได้เลยหลังการรัฐประหาร และแสดงความไม่ยอมรับกฎหมายระหว่างประเทศ อีกทั้งเรื่องการรัฐประหารเมียนมาร์ และต้องการให้มีการนิรโทษกรรมนักโทษการเมือง แต่ประเทศไทยกลับไม่เห็นด้วย กลายเป็นตัวตลกในสายตาระหว่างประเทศ 

997581.jpg

ต่อมาคือ รัฐบาลไทยไม่สามารถทำการตกลงทางการค้ากับประเทศใหญ่ๆ ได้ โดยเฉพาะกับสหภาพยุโรป เพราะวิธีคิดของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้เราเสียโอกาสในการส่งออกอย่างมหาศาล และการพัฒนาเทคโนโลยีโลจิสติกส์ ทำลายหลักนิติธรรม และมีการบังคับใช้กฎหมายกันอย่างไม่เป็นธรรม ทำลายระบบจัดซื้อจัดจ้าง ยกโครงการขนาดใหญ่ให้นายทุนใหญ่ หรือองค์กรต่างประเทศ ล้มเหลวในการรองรับระบบแรงงานข้ามชาติ และธุรกิจข้ามชาติ นโยบายการคลังที่ก่อหนี้สูงแต่ใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ทุจริตคอร์รัปชั่นสูง ซึ่งต้นตอมาจาก การเข้าไปแทรกแซงการแต่งตั้ง ป.ป.ช. ทำให้องค์กรด้านการตรวจสอบที่ถูกรับรองโดย ส.ว. และใช้ความมั่นคงครอบงำการบริหารราชการแผ่นดินทั้งระบบ 

จาตุรนต์ กล่าวอีกว่า เราหาเหตุผลไม่ได้ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการอยู่ต่อเพื่อทำอะไรให้ประเทศเพราะไล่ดูจากสถิติตัวเลขทางเศรษฐกิจพบว่า ทุกๆ อย่างติดลบในทุกด้าน คิดว่า ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการจะอยู่ต่อ เป็นเพราะลงจากหลังเสือไม่ได้ สิ่งที่ต้องการคือ เวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวกับทุจริตคอร์รัปชั่น และเสพติดอำนาจ ดิ้นรนเพื่อให้อยู่ต่อโดยไม่คำนึงอะไรเลย มีเพียงแต่ปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง 

ขณะที่ พิชัย กล่าวว่า ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 152 ที่ฝ่ายค้านได้เปิดเผยปัญหาต่างๆที่รัฐบาลที่สร้างขึ้นตลอด 8 ปี แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบไม่ตรงกับที่ฝ่ายค้านอภิปราย ทั้งเรื่อง การทุจริตคอรัปชั่นที่กระจาย เรื่องทุนจีนสีเทา ที่มีการพูดถึงว่าในสมัยพลเอกประยุทธ์ได้เปลี่ยนจากตำรวจที่มีสีกากีให้กลายเป็นสีเทาแล้ว รวมถึงความพัวพันในธุรกิจของเครือญาติ พล.อ.ประยุทธ์ กับทุนจีนสีเทานี้ พฤติกรรมของตำรวจภายใต้การกำกับดูแล และ บังคับบัญชาโดย พล.อ.ประยุทธ์ และความล้มเหลวในการบริหารประเทศในทุกด้าน

โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่นายกรัฐมนตรียอมรับว่าไม่มีความรู้ความสามารถในเรื่องนี้ โดยล่าสุดสภาพัฒน์ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาสที่สี่ปี 2565 ดูขยายตัวได้เพียง 1.4% ซึ่งถือว่าต่ำมาก ทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2565 ทั้งปี ขยายได้เพียง 2.6% ต่ำกว่าที่คาดประมาณอย่างมาก สาเหตุหลักน่าจะมาจากการส่งออกที่ติดลบถึง 10.5% ในไตรมาสที่ 4 นี้ที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เตือนไว้แล้ว และสภาพัฒน์ยังเตือนว่าการส่งออกในปี 2566 นี้จะติดลบ ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้เตือนไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และสภาพัฒน์ยังลดการคาดการณ์เศรษฐกิจในปีนี้เหลือเพียง 3.2% หรืออาจจะต่ำกว่านึ้ก็เป็นได้ อีกทั้งคนไทยยังมีรายได้ต่อหัวต่อคนลดลงในรูปดอลล่าร์ โดยตลอด 8 ปีมานี้เศรษฐกิจไทยขยายตัวน้อยกว่าที่คาดการณ์มาตลอด และ ขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพมาก ดังนั้นที่อ้างว่าเศรษฐกิจดีจนมีคนชมเชยนั้นจึงไม่เป็นความจริง 

นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบเศรษฐกิจไทยกับเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้าน จะพบว่าเศรษฐกิจไทยปี 65 ที่ขยายได้เพียง 2.6% ต่ำกว่าประเทศในอาเซียนมาก โดยเศรษฐกิจมาเลเซียที่เป็นประเทศรายได้สูงแล้วยังขยายได้ถึง 8.7% เวียดนามขยายได้ 8.0% ฟิลิปปินส์ 7.8% อินโดนิเซีย 5.3% แม้กระทั่งสิงคโปร์ยังขยายได้ 3.8% ซึ่งเท่ากับไทยขยายตัวได้ต่ำที่สุด และเป็นแบบนี้มาตลอด 8 ปีแล้วไม่ใช่เพียงปีนี้ 

ทั้งนี้ 5 ปัจจัยเสี่ยงที่พรรคเพื่อไทยเตือนเริ่มเป็นปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งปัญหาหนี้ที่เพิ่มขึ้นไม่หยุดโดยเฉพาะหนึ้เสียในภาคธนาคาร เศรษฐกิจโลกที่ทรุดลงอย่างรวดเร็ว ปัญหาดอกเบี้ยขาขึ้นที่เพิ่มภาระประชาชนทั้งภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน ปัญหาเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอึดจากเดือนมกราคมที่ยังพุ่งต่ออีก 5.02% หลังปีที่แล้วเงินเฟ้อพุ่งไป 6.08% และ ปัญหาราคาพลังงานที่ราคาในตลาดโลกลดแล้ว แต่ไทยกลับไม่ยอมลด แถมก๊าซหุงต้มยังจะยิ่งเพิ่มขึ้น ซึ่งจะสร้างความลำบากอย่างมาก

“ปัญหาเหล่านี้ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบไม่ได้ แต่ทำไมจึงอยากจะไปต่อ ซึ่งหากปล่อยให้รัฐบาลนี้บริหารต่อไป เศรษฐกิจไทยจะทรุดลงไปอีก จึงถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนการบริหารและต้องปรับเปลี่ยนนโยบายทั้งหมดเพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ ทั้งเรื่องราคาพลังงานที่จะต้องลดลง การสร้างรายได้ใหม่ การงทุนและสร้างธุรกิจ สมัยใหม่ เป็นต้น การปรับเปลี่ยนประเทศในหลายๆด้านไปพร้อมๆกัน เพื่อให้ก้าวหน้าทันประเทศเพื่อนบ้าน ก่อนที่จะสายเกินไป” พิชัย กล่าว


‘จาตุรนต์’ ซัด พลเอกประยุทธ์คือวัวสันหลังหวะ

จาตุรนต์ ระบุว่า พลเอกประยุทธ์ขออยู่ต่อเพื่อที่จะทำอะไรดีดีให้กับประเทศชาติ? แต่พอมองย้อนกลับไปแล้ว 8 ปีที่ผ่านมาสร้างความเสียหายเต็มไปหมด ถ้าอยู่ต่ออีก 2 ปีความเสียหายก็ยิ่งเลวร้ายลงอีกจึงเป็นคำถามว่า พลเอกประยุทธ์ขออยู่ต่อเพื่ออะไรกันแน่?

ผมคิดว่าที่พลเอกประยุทธ์ต้องการจะอยู่ต่อ มันไม่ใช่การลงจากหลังเสือไม่ได้ แต่พลเอกประยุทธ์คือ “วัวสันหลังหวะที่ลงจากหลังเสือไม่ได้ เพราะถ้าลงมาแล้วก็คงตกเป็นอาหารอันโอชะของเสือแทน” 

สิ่งที่ประยุทธ์ต้องการจริง ๆ คือเวลาในการเป็นนายกรัฐมนตรี ที่สามารถเคลียร์เรื่องราวต่าง ๆ ได้โดยเฉพาะเรื่องของการทุจริตคอรัปชั่น หรือคดีต่าง ๆ ที่ใช้อำนาจไปในทางมิชอบซึ่งมีมากกว่า 300 คดี

ที่เห็นชัดคือเหมืองทองอัครา 40,000 กว่าล้าน ที่พลเอกประยุทธ์ไปยกเลิกกิจการเขา แต่พอมีทีท่าจะแพ้คดี กลับให้เขามาทำใหม่ได้ ให้สำรวจเพิ่มอีกหลายแสนไร่ได้ ซึ่งนั่นหมายถึงการเอาทรัพยากรของประเทศไปให้บริษัทต่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาตัวเอง

พลเอกประยุทธ์ต้องการเวลาเคลียร์เรื่องนี้และเรื่องทุจริตต่าง ๆ เพราะว่าถ้าแพ้คดี ก็ต้องไล่เบี้ย 40,000 ล้านกับพลเอกประยุทธ์ที่เป็นหัวหน้าคสช.

โดยเฉพาะถ้าพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาลแล้ว ทำให้ต่อไปมีการแก้รัฐธรรมนูญ ก็ต้องมีการปรับระบบ ป.ป.ช. และองค์กรอิสระให้เป็นองค์กรอิสระจริง นั่นจะทำให้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์จะไม่ได้รับการรับรองหรือคุ้มครองอะไรทั้งนั้น แม้กระทั่ง สว.ที่มาจากพลเอกประยุทธ์ตั้งไว้ ก็จะไม่ปกป้องพลเอกประยุทธ์อีกต่อไป

สิ่งที่พลเอกประยุทธ์ทำมันจะคล้ายกับผู้นำประเทศที่มาจากรัฐประหารในอดีต ที่ต้องดิ้นรนให้อยู่ต่อ แต่ถ้าอยู่ระบบเดิมหรือพรรคการเมืองเดิมไม่ได้ ก็ไปสร้างพรรคขึ้นมาใหม่ ซึ่งพรรคใหม่นั้นก็ไม่รู้จะได้ถึง 25 เสียงหรือไม่ หรือจริงๆแล้วไม่มีอนาคตเลย

พลเอกประยุทธ์ไม่คำนึงอะไรแล้ว ตั้งพรรคแบบไหนก็ได้ นโยบายคืออะไรยังไม่รู้ อุดมการณ์คืออะไร ยังไม่รู้ เห็นดึงคนมาเป็นแบบอะไรก็ได้ ขอให้มาก็แล้ว

สิ่งที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ทำอยู่จึงยิ่งทำให้ระบบพรรคการเมืองเสื่อม แต่พลเอกประยุทธ์กลับไม่คำนึงอะไรแล้วในเวลานี้ เห็นว่ารัฐธรรมนูญแบบนี้ให้โอกาสตนเองมีอำนาจอยู่ เนื่องจากสว.ยังมีอำนาจต่อไปครบ 5 ปี เขาก็ต้องการใช้อันนี้เป็นประโยชน์ 

ซึ่งประโยชน์นี้ไม่ได้เป็นประโยชน์ในการเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งหน้าของพลเอกประยุทธ์ด้วยซ้ำ แต่เป็นการปกป้องอดีตและสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอด 8 ปี เรื่องนี้รุนแรงขนาดไหนสำหรับประยุทธ์ ก็สังเกตได้จากเป็นเรื่องที่พลเอกประยุทธ์ไม่ไว้ใจแม้กระทั่งพลเอกประวิตรแล้วด้วยซ้ำ

2 ปีจึงเป็นเวลาเคลียร์เรื่องต่างๆให้หมดแล้วค่อยลงจากหลังเสือไป ระหว่างนั้นวัวก็หวังว่าจะสมานแผลที่สันหลังหวะได้ แต่ผมคิดว่าการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ประชาชนไทยจะรู้ทัน และจะไม่ยอมให้พลเอกประยุทธ์อยู่ต่อไป เพียงเพื่อจะปกป้องความปลอดภัยหรือผลประโยชน์ของตนเอง