สำนักข่าว BBC รายงานว่า แม้นายมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอและผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กได้โพสต์แถลงการณ์ผ่านบัญชีเฟซบุ๊กส่วนตัวแสดงความคิดเห็นต่อกรณีที่ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานเฟซบุ๊กกว่า 50 ล้านคนรั่วไหลจากการตอบแบบสอบถามของสถาบันวิจัย เคมบริดจ์ แอนาลิติกา โดยเขายอมรับว่าเฟซบุ๊กทำผิดพลาด และกำลังหามาตรการป้องกันไม่ให้ความผิดพลาดดังกล่าวเกิดขึ้นอีกในอนาคต รวมถึงการไปให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ CNN พร้อมกล่าวคำว่าขอโทษอย่างเป็นทางการ แต่นั่นก็ไม่สามารถทำให้สถานการณ์ของบริษัทดีขึ้นได้มากนัก
มูลค่าหุ้นของเฟซบุ๊กเริ่มต้นที่ 38 ดอลลาร์เมื่อปี 2012 ก่อนที่จะทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความนิยมของผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกจนไปแตะที่ราคา 190 ดอลลาร์ในเดือนกุมภาพาันธ์ที่ผ่านมา แต่หลังจากมีข่าวฉาวกรณีข้อมูลผู้ใช้ 50 ล้านคนรั่วไหลเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้นักลงทุนทั่วโลกต่างหวาดหวั่นกับกระแสดังกล่าวว่าจะส่งผลกระทบต่อบริษัทของตัวเองและต่างพากันเทขายหุ้นจนเมื่อวันจันทร์ที่ 19 มีนาคม มูลค่าหุ้นของบริษัทเฟซบุ๊กตกมาอยู่มีราคาอยู่ที่หุ้นละ 176.90 ดอลลาร์ ก่อนจะร่วงมาอยู่ที่ราคา 159.30 ดอลลาร์ช่วงปิดตลาดเมื่อวานนี้ และส่งผลให่มูลค่าทางการตลาดของเฟซบุ๊กร่วงลงอย่างหนัก และสูญเงินไปกว่า 58,000 ล้านดอลลาร์ในระยะเวลาเพียงแค่สัปดาห์เดียว
นักวิเคราะห์มองว่าก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องข้อมูลรั่วไหลครั้งใหญ่นี้ขึ้น นักลงทุนต่างมีความกังวลเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเนื่องจากจำนวนของผู้ใช้งานเฟซบุ๊กลงลงอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากในปี 2017 จำนวนผู้ใช้เฟซบุ๊กลดลงเป็นครั้งแรก และลดลงอย่างมากราว 2.8 ล้านคน ซึ่งคาดว่าในปีนี้เฟซบุ๊กมีแนวโน้มจะสูญเสียผู้ใช้งานไปอีกจำนวนมากเลยทีเดียว เนื่องจากอิทธิพลของแคมเปญติดแฮชแทค #DeleteFacebook ที่แม้แต่ CEO ของบริษัทใหญ่ๆหลายแห่งก็ยังเข้าร่วมด้วย รวมถึงนายอีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของบริษัทเทสลา และ สเปซเอ็กซ์ ที่ตอนนี้ได้ลบบัญชีเฟซบุ๊กของทั้ง 2 บริษัทไปเรียบร้อยแล้ว