ไม่พบผลการค้นหา
'ราฮาฟ' ออกจากห้องพักในสุวรรณภูมิพร้อม ตร.ไทย และเจ้าหน้าที่ UNHCR ทั้งยังทวีตข้อความระบุ 'กังวลและกลัว' หลังทราบข่าวพ่อเดินทางถึงไทยแล้ว พร้อมยืนยันว่าต้องการลี้ภัยไปประเทศที่ 3

ทวิตเตอร์ @rahaf84427714 ของ 'ราฮาฟ โมฮัมเหม็ด อัลกุนุน' หญิงชาวซาอุดีอาระเบียวัย 18 ปี เผยแพร่ข้อความล่าสุดเมื่อประมาณ 21.00 น. วันนี้ (7 ม.ค. 2562) ยืนยันว่าเธอได้รับหนังสือเดินทางคืนมาแล้ว ทั้งยังทราบข่าวว่าพ่อของเธอเดินทางมาถึงเมืองไทยแล้วเช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลและน่ากลัวมาก

ข้อความในทวิตเตอร์ของราฮาฟย้ำว่ าเธอต้องการลี้ภัยไปยังประเทศที่ 3 แต่อย่างน้อยก็รู้สึกดีขึ้นบ้างเมื่อได้อยู่ในความดูแลของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ซึ่งได้ตกลงกันกับเจ้าหน้าที่ของไทย และในที่สุดก็ได้หนังสือเดินทางคืนมา

ราฮาฟทวีตข้อความเพิ่มเติมว่า "ยังอีกไกล กว่าฉันจะถูกส่งตัวไปประเทศที่ 3 ตามสัญญา" พร้อมทั้งทวีตขอบคุณ 'โซฟี แม็คนีล' ผู้สื่อข่าว 4 Corners ทางสถานีโทรทัศน์เอบีซีของออสเตรเลีย ซึ่งใช้บัญชีทวิตเตอร์ @Sophiemcneill เผยแพร่ความเคลื่อนไหวและเป็นผู้ที่อยู่กับราฮาฟในห้องพักในโรงแรมสุวรรณภูมิ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ของ UNHCR เดินทางมาพบกับเธอช่วงค่ำวันนี้

ก่อนที่ราฮาฟจะทวีตข้อความยืนยันว่าเธออยู่ในความดูแลของยูเอ็นเอชซีอาร์ มีรายงานข่าวจากซีเอ็นเอ็น อ้างอิงแหล่งข่าวผู้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย ระบุว่า ราฮาฟจะถูกส่งตัวกลับไปยังซาอุดีอาระเบียพร้อมครอบครัว แต่โซฟี แม็คนีล ได้ทวีตข้อความอ้างอิงเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นคนในพื้นที่ แจ้งว่าการได้รับข้อมูลตรงข้ามกันจากทางการไทยไม่ใช่เรื่องแปลก และยากที่จะเชื่อใครได้ 

อย่างไรก็ตาม โซฟี แม็คนีล ยืนยันว่าเธอได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของยูเอ็นเอชซีอาร์ประจำประเทศไทยก่อนที่เธอจะถูกสั่งให้ออกจากห้องพักในสุวรรณภูมิ ได้รับคำยืนยันว่าราฮาฟจะปลอดภัยและได้รับความคุ้มครองนับจากนี้ต่อไป

ทำไมราฮาฟจึงหนีจากครอบครัว?

ก่อนหน้านี้ ราฮาฟ เปิดเผยกับ สำนักข่าววอยซ์ออนไลน์ ว่า เธอและครอบครัวได้เดินทางไปคูเวต และระหว่างนั้น เธอได้หลบหนีจากครอบครัวและซื้อตั๋วเครื่องบินจากคูเวตไปยังออสเตรเลีย ซึ่งต้องมารอเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่เมื่อถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเวลา 21.30 น. ของวันที่ 5 ม.ค. ที่ผ่านมา เธอถูกเจ้าหน้าที่ยึดพาสปอร์ต ทำให้เธอไม่สามารถขึ้นเครื่องบินต่อไปที่ออสเตรเลีย แม้เธอจะได้รับวีซ่าจากออสเตรเลียแล้ว เนื่องจากครอบครัวของเธอได้แจ้งความว่าเธอหลบหนีไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากบิดาหรือพี่ชาย ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายของซาอุดีฯ

ราฮาฟ เล่าว่า เธอถูกครอบครัวขังอยู่ในห้องนานถึง 6 เดือน เพียงเพราะเธอไปตัดผม โดยครอบครัวเธอมองว่า การตัดผมเป็นการทำผิดหลักศาสนา เพราะผู้หญิงไม่ควรตัดผมเหมือนผู้ชาย อีกทั้งยังถูกพี่ชายทำร้ายร่างกาย ขณะเดียวกัน เธอได้เลิกนับถือศาสนาอิสลามแล้ว แต่ครอบครัวของเธอไม่พอใจอย่างมาก และบังคับให้เธอสวมฮิญาบต่อไป เธอจึงตัดสินใจหลบหนีออกจากประเทศ

ราฮาฟ อธิบายว่า เธอเกรงว่าอาจถูกสังหาร หากถูกส่งตัวกลับประเทศ เพราะครอบครัวของเธอกดขี่เธอมาตลอด และการหนีออกจากบ้านเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ซึ่งอาจทำให้เธอถูกจำคุก

ราฮาฟขังตัวเองในห้องพักที่สุวรรณภูมิ พร้อมส่งข้อความผ่านทวิตเตอร์เพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งภาคประชาสังคม นักสิทธิมนุษยชน สื่อมวลชน และเครือข่ายด้านกฎหมายต่างๆ ได้พยายามส่งต่อข้อความและเคลื่อนไหวให้ทางการไทยชี้แจงข้อเท็จจริง ตลอดชนเรียกร้องให้ราฮาฟได้พบกับเจ้าหน้าที่ UNHCR ทำให้เกิดเป็นกระแสแฮชแท็ก #SaveRahaf ในโลกออนไลน์ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :