วันที่ 27 ก.ย. ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะวิปฝ่ายค้าน แสดงความเห็นกรณี วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร ระบุถึงการเพิ่มวันประชุมสภาฯ จากเดิม 2 วันต่อสัปดาห์ คือทุกวันพุธ และวันพฤหัสบดี เป็น 3 วันต่อสัปดาห์ คือวันพุธถึงวันศุกร์ เพื่อเพิ่มเวลาพิจารณากฎหมายที่รอการพิจารณาอยู่หลายฉบับ มองว่า เป็นเรื่องน่ายินดี สอดคล้องกับสิ่งที่ตนเองในฐานะวิปฝ่ายค้านได้พูดคุยกับวิปรัฐบาลเมื่อสัปดาห์ก่อน
ปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า นอกจากเรื่องนี้ พรรคก้าวไกลยังผลักดันงานสภาฯ ด้วยการยื่นแก้ไขข้อบังคับการประชุมสภาฯ ชื่อ “ข้อบังคับสภาก้าวหน้า” โดยขอให้ร่าง พ.ร.บ. ที่เสนอโดยภาคประชาชน จัดอยู่ในหมวดของเรื่องด่วน และถูกยกมาพิจารณาก่อนเรื่องอื่น โดยหวังว่าเมื่อร่างข้อบังคับนี้เข้าสภาฯ ที่ประชุมสภาฯ จะรับหลักการ เพื่อให้ร่างกฎหมายของประชาชนได้พิจารณาเร็วขึ้น และให้เป็นช่องทางพิเศษที่ด่วนกว่าเรื่องอื่น
"ประเด็นที่สอง คือ ร่าง พ.ร.บ. ที่เสนอโดย สส. เป็นปัญหาตั้งแต่สภาฯ ชุดที่แล้ว เพราะร่างกฎหมายที่เสนอโดย สส. ได้รับการพิจารณาน้อยมาก ในขณะที่ร่างกฎหมายของรัฐบาลจะเข้ามาเป็นเรื่องด่วน กลายเป็นว่า สส. ที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชน กลับเป็นเพียงแค่ตรายางให้ฝ่ายบริหาร หากฝ่ายบริหารเสนอร่างกฎหมายเข้ามา สภาฯ ก็ต้องพิจารณาทันทีว่าจะรับหลักการหรือไม่ ร่างกฎหมายที่เสนอโดย สส. แทบไม่ได้รับการพิจารณาเลย"
ปกรณ์วุฒิกล่าวอีกว่า เดือน ก.ค. ที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลเคยมีการหารือตกลงร่วมกันไปแล้วว่า ให้การประชุมสภาฯ ชุดที่ 26 เป็น 2+1 คือ การประชุม 2 วันเป็นหลัก และ 1 วันในการพิจารณาร่างกฎหมายต่างๆ ทั้งที่เสนอโดยภาคประชาชนและเสนอโดย สส. จึงต้องการให้มีการนัดเพิ่มเช่นนี้ ต่อเนื่องไปตลอดวาระของสภาชุดนี้ เพื่อให้สภาได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่
ปกรณ์วุฒิ ย้ำว่า การถ่วงดุลกับฝ่ายบริหารไม่ใช่แค่การตรวจสอบติดตามและอภิปรายไม่ไว้วางใจเท่านั้น แต่เป็นการเห็นชอบกฎหมายที่สภาฯ เห็นว่ามีประโยชน์ เพื่อให้ฝ่ายบริหารนำกฎหมายไปใช้ และเพื่อให้เกิดการถ่วงดุลระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ