ไม่พบผลการค้นหา
World Trend - 'ปารีส' ห้ามรถดีเซลเก่าเข้าเมือง หวังลดมลพิษ - Short Clip
World Trend - 'เวสป้า' เตรียมส่งรถไฟฟ้าล็อตแรกปีนี้ - Short Clip
World Trend - สงครามการค้ากระทบอุตสาหกรรมการบินโลก - Short Clip
World Trend - มูลค่า 'บิตคอยน์' ตกลงต่ำสุดในรอบเดือน - Short Clip
World Trend - หุ้นเทสลาร่วงหลังรายได้ไตรมาส 4 น่าผิดหวัง - Short Clip
World Trend - ​ยูทูบแบนไลฟ์สตรีมเด็กต่ำกว่า 13 ปี - Short Clip
World Trend - 'สมอลเลตต์' ถูกตำรวจตั้งข้อหา 16 กระทง - Short Clip
World Trend - อัตราเกิดใน 'ญี่ปุ่น' ต่ำเป็นประวัติการณ์ - Short Clip
World Trend - รถพลังงานไฟฟ้าจะถูกกว่ารถใช้น้ำมันใน 7 ปี - Short Clip
World Trend - แอปเปิลสั่งลดการผลิตไอโฟนรุ่นใหม่ลง 20 % - Short Clip
World Trend - ศก.เวียดนามอาจเป็นเบอร์ 1 เอเชียใน 10 ปี - Short Clip
World Trend - ใส่ Adidas รุ่นใหม่ขึ้นรถสาธารณะฟรี - Short Clip
World Trend - UN แนะ 25 นโยบายลดมลพิษอากาศในเอเชีย - Short Clip
World Trend - งานวิจัยชี้ 'บิตคอยน์' เป็นหนึ่งในปัจจัยโลกร้อน - Short Clip
World Trend - ยอดขายหัวเว่ยทะลุแสนล้าน แม้ถูกกีดกันจากทั่วโลก - Short Clip
World Trend - ผู้ต้องขังหญิงในอิตาลีผันตัวเป็น 'ดีไซเนอร์' - Short Clip
World Trend - ฮูลิแกนอังกฤษนับพันชวดบินดูบอลโลก - Short Clip
World Trend - นานาชาติเผชิญวิกฤติ 'โลกลุกเป็นไฟ' - Short Clip
World Trend - ชนชั้นกลางจีนไม่มีลูกคนที่ 2 เพราะค่าใช้จ่ายสูง - Short Clip
World Trend - ​'เซนเซอร์เวก' นาฬิกาปลุกกลิ่นเวอร์ชันล่าสุด - Short Clip
World Trend -​ 'ปารีส' ห้ามรถเก่าเข้าเมือง แต่ 'มาดริด' ยกเลิกแผนนี้ - Short Clip
Jul 3, 2019 06:35

กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เริ่มแบนรถดีเซลเก่าไม่ให้เข้าไปในเขตเมือง ขณะที่ มาดริด ประเทศสเปน ยกเลิกคำสั่งแบนรถดีเซล หลังทดลองดำเนินการนาน 7 เดือน แต่ไม่ได้ผล

นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2019 รถยนต์ที่มีอายุมากกว่า 13 ปี หรือเป็นรถยนต์ที่ผลิตก่อนปี 2006 จะถูกแบนไม่ให้เข้าบริเวณกรุงปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศส เพื่อลดปริมาณมลพิษทางอากาศ

รถยนต์ รถบรรทุก และมอเตอร์ไซค์เครื่องยนต์ดีเซลที่มีอายุกว่า 13 ปี จะถูกห้ามไม่ให้เข้ากรุงปารีส วันจันทร์ถึงศุกร์ ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 2 ทุ่ม โดยคาดว่าจะมีผลกระทบกับยานพาหนะราว 800,000 คัน ในแคว้นอีล-เดอ-ฟรองซ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุงปารีสและปริมณฑล ผู้ใดฝ่าฝืนจะมีโทษปรับ 68 ยูโร หรือราว 2,365 บาท และค่าปรับสำหรับรถบัสและรถบรรทุกจะสูงถึง 135 ยูโร หรือราว 4,695 บาท

ขณะที่จังหวัดอื่น ๆ ในแคว้นอีล-เดอ-ฟรองซ์ ซึ่งเป็นเหมือนชานเมืองของปารีส และจำเป็นต้องพึ่งพารถยนต์ในการเดินทางมากกว่าปารีสนั้น จะไม่มีโทษปรับในช่วง 2 ปีแรกของเริ่มบังคับใช้มาตรการแบนเครื่องยนต์ดีเซลเก่า

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่าทางรัฐบาลตกลงที่จะตั้งระยะเวลาทดลองปลอดโทษปรับ 2 ปี หลังมีเสียงทัดทานจากเทศมนตรีบางรายเกรงว่าการแบนนี้จะจุดชนวนกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อกั๊กเหลืองขึ้นมาอีกครั้ง โดยกลุ่มเสื้อกั๊กเหลืองซึ่งปะทุขึ้นในปีที่แล้วเป็นการชุมนุมประท้วงโดยชาวฝรั่งเศสหลายแสนคนที่ไม่พอใจกับแผนขึ้นภาษีเชื้อเพลิง โดย แพทริก อูลิเยร์ ส.ส. จังหวัดโอดแซน ปริมณฑลของปารีสกล่าวว่า เขาไม่ต้องการจะบังคับให้ประชาชนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แต่อยากให้พวกเขายอมรับด้วยการพูดคุยกันมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกันนี้ที่สเปนกลับมีความเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงกันข้ามกับฝรั่งเศส โดยทางการสเปนประกาศยกเลิกคำสั่งห้ามยานพาหนะที่ปล่อยมลพิษสูงเข้าสู่กรุงมาดริด เมืองหลวงของสเปน หลังจากบังคับใช้คำสั่งดังกล่าวมาได้ 7 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ทำให้มาดริดนับเป็นเมืองใหญ่แห่งแรกในยุโรปที่ 'กลับลำ' นโยบายลักษณะนี้

เดิมทีนโยบายดังกล่าวของกรุงมาดริดถูกเสนอขึ้นมาโดยพรรค พรรคเสรีนิยม Más Madrid ขณะที่ เทศมนตรีคนใหม่ของกรุงมาดริดมาจากพรรค People’s Party ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายอนุรักษนิยมของสเปน และทางศาลากลางก็ออกมาระบุว่าความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้เป็นไปเพื่อพิจารณาปรับแก้มาตรการให้สอดคล้องกับความต้องการการใช้รถยนต์ของพลเมือง

การตัดสินใจยกเลิกคำสั่งห้ามยานพาหนะที่ปล่อยมลพิษสูงเข้าสู่กรุงมาดริดดังกล่าว ทำให้พลเมืองมาดริดหลายพันคนออกมาชุมนุมประท้วงเมื่อวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมชี้ว่าเหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของระบบการเมืองสเปนซึ่งกลายเป็นการเมืองที่มีการแบ่งขั้วและเปราะบาง อันส่งผลโดยตรงกับคุณภาพชีวิตของพลเมือง และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศโลก

ในปัจจุบันบรรดาชาติยุโรปต่างตั้งเป้าลดการปล่อยมลพิษด้วยการแบนไม่ให้ยานพาหนะเครื่องยนต์ดีเซลเก่าเข้าสู่เมืองใหญ่กัน ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้บริสทอล เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของอังกฤษก็เริ่���ทำประชามติ 6 สัปดาห์ เกี่ยวกับการแบนไม่ให้รถยนต์ดีเซลเข้าย่านใจกลางเมือง หลังจากที่ในปี 2017 รัฐบาลอังกฤษประกาศตั้งงบประมาณกว่า 3 พันล้านปอนด์ เพื่อนำไปใช้ในนโยบายแก้ปัญหามลพิษทางอากาศซึ่งจะรวมถึงการสั่งห้ามขายและห้ามการขับขี่ยานพาหนะที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งเบนซินและดีเซล ภายในปี 2040 และจะส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในด้านต่างๆ รวมถึงการใช้รถยนต์ไฟฟ้าทดแทนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 

แน่นอนว่ากลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมต่างสนับสนุนความคืบหน้าของรัฐบาลอังกฤษอย่างมากในครั้งนี้ หลังจากที่ ก่อนหน้านั้นรัฐสภาของสหภาพยุโรปลงมติผ่านร่างกฎหมาย ลงโทษบริษัทรถยนต์ที่ไม่สามารถพัฒนาเครื่องยนต์ให้ควบคุมการปล่อยมลพิษได้ เช่นเดียวกับรัฐบาลในหลายประเทศ ทั้งฝรั่งเศส เม็กซิโก สเปน และกรีซ ที่ออกคำสั่งห้ามรถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซลเข้าไปในพื้นที่ใจกลางเมืองหรือพื้นที่ที่กำลังประสบปัญหามลพิษทางอากาศมาก่อนหน้านี้แล้ว

ขณะที่ เมืองฮัมบูร์กและสตุตการ์ต ในเยอรมนีก็เริ่มแบนมาตั้งแต่ 31 พฤษภาคม 2018 และ 1 เมษายน 2019 ตามลำดับ ส่วนบรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยียมเริ่มการแบนมาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2018 และจ่อแบนทั้งรถเบนซินและดีเซลในปี 2030 ด้วย ทางด้านประเทศไอร์แลนด์ และกรุงอัมสเตอร์ดัม เมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์เอง ก็มีเป้าจะหยุดจำหน่ายยานพาหนะที่ใช้เชื้อเพลิงเบนซินและดีเซลภายในปี 2030 เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ก็มีการเห็นต่างอยู่เช่นกันเช่นในกรณีของเยอรมนีเองก็มีความพยายามจากสมาชิกสภาที่ต้องการจะกลับลำการแบน เนื่องจากมองว่าการห้ามรถเข้าสู่เมืองเลยนั้นเป็นยาขมเกินไปในการรักษาสิ่งแวดล้อม หลังจากที่ในปีที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุดของเยอรมนีในเมืองไลป์ซิก ได้มีคำพิพากษาบังคับให้เมืองใหญ่ของเยอรมนีสั่งห้ามรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลที่ใช้การมานาน และมีเครื่องยนต์เก่า ไม่ให้เข้ามาวิ่งบนท้องถนนในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะเมืองสตุตการ์ต และดุสเซลดอฟ ซึ่งเป็นเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดแห่งหนึ่งในเยอรมนี ขณะที่ ทางการของรัฐเวิร์ทเทมเบอร์ก และนอร์ธไรน์ - เวสต์ฟาเลีย กำลังยื่นอุธรณ์ต่อสู้คัดค้านเรื่องนี้อยู่

ด้านผู้เชี่ยวชาญมีการคาดการณ์ไว้ด้วยว่า ปริมาณไนโตรเจนออกไซด์ที่มีจำนวนมากในประเทศเยอรมนี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศกว่า 6,000-13,000 คนต่อปี โดยเฉพาะโรคหืด ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจาการขนส่งที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล โดยเกณฑ์ที่สหภาพยุโรปกำหนดคือ ไนโตรเจนออกไซต์ต้องไม่เกิน 40 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แต่หลายเมืองในเยอรมนีกลับมีไนโตรเจนออกไซต์มากถึง 70 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เช่น สตุตการ์ต ดุสเซลดอฟ โคโลญจน์ และมิวนิก

Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
185Article
76559Video
0Blog