มาม่า เปิดเผยยอดขายปีนี้ ต่ำที่สุดในรอบ 42 ปี สะท้อนกำลังซื้อประชาชนที่ลดลง เตรียมลงทุนปรับปรุงการผลิต และขยายตลาดไปยังต่างประเทศ
นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด(มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป "มาม่า" ยอมรับยอดขายมาม่าปีนี้ จะเติบโตเพียง 0.2% ต่ำที่สุดในรอบ 42 ปี สะท้อนภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อของประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อย
นอกจากนี้ การบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โดยเฉพาะรูปแบบซองในไทย เริ่มอิ่มตัวที่ 45 ซองต่อคนต่อปี เช่นเดียวกับญี่ปุ่น ที่บริโภค 43.4 ซองต่อคนต่อปี โดยพฤติกรรมเปลี่ยนไปบริโภคแบบคัพ มากขึ้น
ด้านนายสุชัย รัตนเจียเจริญ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ กล่าวว่า ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปช่วง 10 เดือนแรกปีนี้ เติบโต 1.2% ต่ำกว่าปีก่อน ที่เติบโต 8.3% คาดว่าทั้งปีนี้ ตลาดจะเติบโต 1.4% มีมูลค่าตลาดรวม 1 หมื่น 5 พัน 4 ร้อยล้านบาท แบ่งเป็นแบบซอง 70% จะติดลบ 0.5% ส่วนแบบคัพ จะเติบโต 7.95% จากปีก่อนโต 20.3% โดยมาม่า ยังครองส่วนแบ่งตลาด 50.25%
สำหรับยอดขาย อยู่ที่ 1 หมื่น 186 ล้านบาท เติบโต 0.2% และมีกำไร 1 พัน 417 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อนที่มีกำไร 1 พัน 468 ล้านบาท ทั้งนี้ จะใช้งบ 400 ล้านบาท จัดซื้อเครื่องจักรใหม่ 4 เครื่อง ให้ 2 โรงงานในจังหวัดลำพูนและระยอง รวมทั้งผลิตบรรจุภัณฑ์ถ้วยพลาสติกสำหรับมาม่าแบบคัพในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า(58) เพื่อยืดอายุสินค้านานขึ้น
นอกจากนี้ จะปรับรูปแบบจากซอง 6 บาท เป็นแบบคัพ 12-13 บาท , พึ่งพาการส่งออกมากขึ้น จากที่ส่งออกใน 60 ประเทศ หากประเทศใดมีศักยภาพ และความต้องการสูง ก็จะเข้าไปตั้งโรงงานผลิตที่นั่น พร้อมตั้งเป้าใน 10 ปี จะเพิ่มยอดขายอีกเท่าตัว เป็น 2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นในและต่างประเทศ อย่างละครึ่ง จากปัจจุบันขายในประเทศ 81% และส่งออก 19%
การลงทุนในต่างประเทศ เบื้องต้นจะใช้งบ 200-300 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตบะหมี่ในเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมาร์ เป็นแห่งที่ 2 และศึกษาการลงทุนในซาอุดิอาระเบีย และประเทศในตะวันออกกลางเพิ่มเติม อาจอยู่ในรูปแบบแฟรนไชส์ และการเข้าไปถือหุ้น ปัจจุบันมีโรงงานผลิตใน 4 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา เมียนมาร์ บังกลาเทศ และประเทศฮังการี รวมทั้งมีแผนกลับไปทำตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในบราซิล และเม็กซิโก อีกครั้ง