คิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ลงนามถ้อยแถลงร่วมกับสหรัฐฯ ยืนยันปลดอาวุธนิวเคลียร์ ขณะประธานาธิบดีทรัมป์ รับปากให้หลักประกันความมั่นคงแก่เกาหลีเหนือ พร้อมกับเตรียมเชิญคิมจองอึนเยือนทำเนียบขาว
การประชุมครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ผ่านไปได้ด้วยดี ผู้นำทั้ง 2 คนได้ให้สัญญาร่วมกันว่าจะทิ้งอดีตไว้เบื้องหลัง และก็มีการลงนามร่วมกันว่าทั้งสองประเทศจะทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี และเกาหลีเหนือจะเดินหน้าปลดอาวุธนิวเคลียร์ของตัวเองตามที่สัญญาไว้
โดยการประชุมวานนี้ (12 มิ.ย.61) เริ่มต้นในเวลา 09:00 น. ตามเวลาในสิงคโปร์ ซึ่งผู้นำทั้งสองคนพบกันที่โรงแรมคาเปลา บนเกาะเซ็นโตซา ของสิงคโปร์ ได้จับมือร่วมกัน ก่อนที่จะนั่งพูดคุยกันแบบสองต่อสอง ผ่านล่ามแปล ซึ่งทั้งคู่คุยกันนานกว่า 48 นาที และต่อมาก็เป็นการประชุมแบบเป็นคณะ ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุม นอกจาก โดนัลด์ ทรัมป์ และ คิมจองอึน ก็มีคณะรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองประเทศเข้าร่วม
ฝ่ายเกาหลีเหนือยืนยันคำมั่นตามปฏิญญาปันมุนจอม ที่จะปลดอาวุธนิวเคลียร์โดยสิ้นเชิง ขณะที่ฝ่ายสหรัฐฯรับปากที่จะให้หลักประกันความมั่นคงแก่เกาหลีเหนือ อย่างไรก็ตาม ถ้อยแถลงไม่ได้ระบุรายละเอียดว่า การปลดอาวุธนิวเคลียร์จะดำเนินการอย่างไร และหลักประกันความมั่นคงที่สหรัฐฯรับปากกับเกาหลีเหนือนั้น ประกอบด้วยประเด็นอะไรบ้าง นอกจากนี้ ถ้อยแถลงร่วมไม่ได้ระบุถึงมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ ว่า จะยังคงมีอยู่ต่อไปหรือไม่ อย่างไร อีกทั้งไม่ได้กล่าวถึงสนธิสัญญาสันติภาพ เพื่อยุติสงครามเกาหลีอย่างเป็นทางการ
ประเด็นที่ถ้อยแถลงพูดถึงอย่างเป็นรูปธรรมคือ ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันค้นหาซากของเชลยศึกและทหารที่สูญหายระหว่างการสู้รบเมื่อช่วงปี 1950-1953 และส่งกลับไปยังบ้านเกิด
อย่างไรก็ตาม ผู้สังเกตการณ์บอกว่า ถ้าข้อตกลงในหลักการอย่างกว้างๆฉบับนี้ส่งผลให้เกิดการลดความตึงเครียดระหว่างประเทศทั้งสอง สถานการณ์ด้านความมั่นคงในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก อาจเปรียบเทียบได้กับเมื่อครั้งที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ริชาร์ด นิกสัน ไปเยือนกรุงปักกิ่งเมื่อปี1972 ซึ่งทำให้จีนเปลี่ยนโฉมเข้าสู่ยุคใหม่
ระหว่างพิธีลงนามเอกสารฉบับนี้ คิมกล่าวกับทรัมป์ว่า การประชุมสุดยอดครั้งนี้นับเป็นนัดประวัติศาสตร์ผู้นำทั้งสองได้ “ตัดสินใจที่จะละทิ้งอดีต โลกจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่”
ทรัมป์กล่าวว่า เขาได้พัฒนา “ความผูกพันที่พิเศษอย่างยิ่ง” กับคิม และว่า ความสัมพันธ์ของสหรัฐฯกับเกาหลีเหนือจะไม่เหมือนเดิม “ผู้คนจะประทับใจมากและรู้สึกดีใจมาก เราทั้งสองจะดูแลปัญหาที่ร้ายแรงอย่างยิ่งของโลก”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเขาจะเชิญคิมไปเยือนทำเนียบขาวหรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า “ผมจะเชิญอย่างแน่นอน” พร้อมกับพูดถึงผู้นำเกาหลีเหนือ เป็นคนที่ “ฉลาดมาก” และ “เป็นบุคคลที่ทรงคุณค่ามากเป็นนักเจรจาตัวฉกาจ”
“ผมได้เรียนรู้ว่าเขาเป็นคนที่เก่งมาก และได้เรียนรู้ว่า เขารักประเทศชาติของเขามาก”
ในตอนหนึ่งของการสนทนา คิมบอกกับทรัมป์ผ่านล่ามว่า “คนทั้งโลกกำลังเฝ้าดูเหตุการณ์นี้ หลายคนคงคิดว่าเป็นเหมือนฉากในหนังแนวจินตนาการ” ภายหลังการหารือเต็มคณะ ผู้นำและคณะเจ้าหน้าที่ของทั้งสองฝ่ายทานมื้อกลางวันด้วยกัน ซึ่งเสิร์ฟทั้งอาหารฝรั่งและอาหารเกาหลี โดยมีคิมโยจอง น้องสาวของคิมจองอึน ร่วมโต๊ะด้วย
หลังจบการประชุม นายคิมจองอึนก็เดินทางกลับเกาหลีเหนือทันทีในช่วงบ่าย ส่วนทรัมป์ก็ได้จัดการแถลงข่าวและตอบคำถามผู้สื่อข่าวในช่วงเวลา 15:00 น. และมีกำหนดเดินทางกลับสหรัฐฯในเวลา 19:00 น. ตามเวลาท้องถิ่นในสิงคโปร์
รองศาสตราจารย์ดร.นภดล ชาติประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ และที่ปรึกษาศูนย์เกาหลีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเมินการประชุมสุดยอดระหว่างนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ที่ประเทศสิงคโปร์เมื่อวานนี้ (12 มิ.ย.61) ก่อนการแถลงของทรัมป์จะมีขึ้น
รองศาสตราจารย์ดร.นภดล ระบุว่า เท่าที่ประเมินสถานการณ์ นับได้ว่า เป็นภาพสะท้อนความก้าวหน้า ภาษากาย ตลอดจนการแสดงออกค่อนข้างลงตัว แม้จะปรากฏความไม่เป็นธรรมชาติ และแฝงความเครียดอยู่บ้าง อันเนื่องมาจากความแตกต่างของผู้นำทั้งสอง ทั้งอายุ ความคุ้นเคย
นอกจากนี้นับได้ว่า ทั้งสองฝ่ายทำการบ้านได้ดี และผู้นำทั้งสองรับรู้ว่า แต้มต่อของการเจรจาแต่ละฝ่ายมีอะไรบ้าง และมีไม่เท่ากัน ส่วนตัวมองว่า การพบปะครั้งนี้เป็นการกำหนดชะตากรรมเกาหลีเหนือ เพราะสถานการณ์บีบให้เกาหลีเหนือต้องเลือก ว่าจะเดินหน้าเส้นทางนิวเคลียร์ หรือเส้นทางใหม่ ซึ่งเส้นทางนิวเคลียร์นับได้ว่าถึงทางตันแล้ว เนื่องจากความไม่สมบูรณ์ของเทคโนโลยี ที่เป็นได้แค่การป้องปราม ตลอดจนภาวะเศรษฐกิจที่ถูกคว่ำบาตร สิ่งเหล่านี้บีบให้เกาหลีเหนือถึงทางตัน
รองศาสตราจารย์ดร.นภดล ระบุว่า สำหรับสหรัฐฯเอง มีท่าทีที่ผ่อนคลายกว่า หลังค่อนข้างได้เปรียบในเกมส์ครั้งนี้ เพราะจริงแล้วปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม หากการเจรจาไม่ประสบความสำเร็จ อาจเป็นช่องทางให้สายเหยี่ยวในสหรัฐฯสนับสนุนการใช้กำลังทางทหาร การพบกันในครั้งนี้จึงเป็นเกมส์การทูตที่หวือหวา
สำหรับข้อตกลงร่วมกันระหว่าง 'สหรัฐ - เกาหลีเหนือ' สรุปได้ดังนี้