ไม่พบผลการค้นหา
World Trend - กูเกิล-เฟซบุ๊ก 'เอาอยู่' แม้เผชิญข่าวฉาวตลอดปี 2018 - Short Clip
World Trend - เน็ตฟลิกซ์เลิกรับค่าสมาชิกบางส่วนผ่านไอโอเอส ​- Short Clip
World Trend - เด็ก 7 ขวบคว้าแชมป์ยูทูบเบอร์ทำเงินสูงสุด - Short Clip
World Trend - กรุงเทพฯ เมืองยอดนิยม ‘มาสเตอร์การ์ด’ 3 ปีซ้อน - Short Clip
World Trend - คนดังระดับโลกเลือกบริจาคทรัพย์สินหลังความตาย - Short Clip
World Trend - ผู้ใช้ไอจีหลายร้อยสูญเงินหลังถูกหลอกลงทุน - Short Clip
World Trend - หัวเว่ย ยอดขายพุ่ง 15 เปอร์เซ็นต์ในครึ่งปีแรก - Short Clip
World Trend - ซิลิคอนแวลลีย์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือที่ใด - Short Clip
World Trend - มูลค่า 'บิตคอยน์' ตกลงต่ำสุดในรอบเดือน - Short Clip
World Trend - ธุรกิจกัญชาบูม มีแรงงานมากกว่าสาธารณสุข - Short Clip
World Trend - 'พิตต์' โต้กลับ 'โจลี' หลังถูกกล่าวหาไม่จ่ายค่าเลี้ยงดูบุตร- Short Clip
World Trend - 'พลัสไซซ์' ตลาดใหม่เพื่อแฟชั่นที่เท่าเทียม - Short Clip
World Trend - ‘ทวิตเตอร์’ ได้กำไรเป็นครั้งแรก - Short Clip
World Trend - มาเลเซียจะกลับมาเป็น 'เสือแห่งอาเซียน' ใน 3 ปี - Short Clip
World Trend - สตาร์ตอัปสหรัฐ เตรียมสร้างโรงแรมบนอวกาศ - Short Clip
World Trend - คาดปีนี้ 'อีสปอร์ต' โกยรายได้เฉียด 3 หมื่นล้าน - Short Clip
World Trend - ญี่ปุ่นอนุมัติ 'อนุบาลฟรี' แก้อัตราเกิดต่ำ - Short Clip
World Trend - ​LV เลิกผลิตเสื้อ 'ไมเคิล แจ็กสัน' หลังมีสารคดีฉาว - Short Clip
World Trend - ผู้ก่อตั้ง 'อินสตาแกรม' ทั้ง 2 คนประกาศลาออก - Short Clip
World Trend - อีลอน มัสก์ พิจารณาถอน 'เทสลา' ออกจากตลาดหลักทรัพย์ - Short Clip
World Trend - 'สินค้าแบรนด์เนม' ตัวชี้วัดความซบเซากำลังซื้อของจีน - Short Clip
Nov 6, 2018 07:54

ยอดขายสินค้าแบรนด์เนมในจีนแผ่นดินใหญ่เริ่มซบเซา หลังชนชั้นกลางชาวจีนชะลอการใช้จ่ายอันเป็นผลกระทบโดยตรงจากสงครามการค้าและสภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มถดถอย

สำนักข่าวนิกเกอิเอเชียนรีวิวรายงานว่า ในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา บรรดาบริษัทสินค้าแบรนด์เนมหรือสินค้ากลุ่มลักชัวรีจากหลายประเทศทั่วโลกต่างตั้งความหวังไว้กับยอดขายในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งนอกจากจะเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลกแล้ว จีนยังเป็นตลาดสินค้าแบรนด์เนมที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลกอีกด้วย อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในขณะนี้ได้เปลี่ยนแปลงไป ด้วยยอดขายสินค้าหรูในกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่เริ่มชะลอตัวลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มชนชั้นกลาง

นิกเกอิเอเชียนรีวิวยกตัวอย่างกรณีศึกษาของสตรีชาวจีนที่ชื่อว่านางเคลลี ไช่ เธอประกอบอาชีพเป็นพนักงานของบริษัทใหญ่ด้านเทคโนโลยีในกรุงปักกิ่งของจีน เธอเล่าว่าหลายปีก่อนหน้านี้ เธอมักจะใช้เงินไปกับการซื้อสินค้าแบรนด์เนมที่ไม่ได้มีราคาสูงมากอย่าง หลุยส์ วิตตอง อยู่เป็นประจำ แต่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนเริ่มเปลี่ยนไป พฤติกรรมการใช้จ่ายของไช่ก็เริ่มเปลี่ยนตาม 

ไช่เล่าว่า เธอไม่ได้ซื้อสินค้าแบรนด์หรูมาสักพักใหญ่ ๆ ได้แล้ว ไม่แม้กระทั่งจะซื้อกระเป๋าถือแบรนด์ล่างลงมาอย่าง Coach ที่กระเป๋าถือราคาคาเพียงแค่หมื่นบาทต้น ๆ เท่านั้น เพราะเธอรู้สึกว่าสิ่งของเหล่านี้มันไม่ได้จำเป็นกับเธออีกต่อไป และเธอก็มีสินค้าพวกนี้อยู่แล้ว ประกอบกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในครอบครัวที่เธอต้องรับผิดชอบ การชอปปิงสินค้าแบรนด์เนมสำหรับเธอจึงกลายเป็นสิ่งที่เริ่มไกลตัวออกไปทุกที แม้ว่ามันจะเคยเป็นสิ่งที่เธอทำเป็นประจำก็ตาม

ไช่มีรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 76,000 บาท โดยค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ในปัจจุบันของเธอตกไปอยู่ที่การผ่อนชำระค่าอพาร์ตเมนต์ ซึ่งถือว่าอยู่ในทำเลที่ตั้งที่ดี ใกล้กับโรงเรียนที่มีคุณภาพ แม้จะมีราคาแพง แต่ก็แลกกับการที่ลูกชายของเธอจะสามารถเข้าไปเรียนในโรงเรียนนี้ได้ ซึ่งนี่ยังไม่รวมถึงค่าเล่าเรียนที่เธอต้องรับผิดชอบ ค่ากิจกรรมต่าง ๆ และค่าเรียนพิเศษของลูกอีกด้วย

สถานการณ์เช่นนี้เริ่มเห็นได้มากขึ้นในครอบครัวชาวจีนชนชั้นกลาง ไม่ว่าจะเป็นการมีรายจ่ายที่มากขึ้น ค่าครองชีพที่สูงขึ้น แม้จะมีเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาในชีวิตประจำวันมากขึ้น แต่การใช้ชีวิตของชนชั้นกลางชาวจีนในเมืองใหญ่ก็ยังไม่สามารถเงยหน้าอ้าปากได้เช่นสมัยก่อน นักเศรษฐศาสตร์จึงมองว่า พฤติกรรมการลดการซื้อสินค้าแบรนด์เนมในจีนคือตัวชี้วัดสำคัญเบื้องต้นที่ทางการจีนจะต้องเร่งจัดการในภาพรวมให้เร็วที่สุด

ฮ่องกงซึ่งถือว่าเป็นสวรรค์แห่งหนึ่งของนักชอปชาวจีนที่มักจะเดินทางเข้ามาเพื่อเลือกซื้อสินค้าหรูแบบปลอดภาษี ก็ยังไม่วายได้รับผลกระทบจากความซบเซาของเศรษฐกิจจีนตามไปด้วย โดยล่าสุดมีการรายงานตัวเลขจากสำนักงานสถิติของจีนออกมาว่า ยอดขายสินค้าลักชัวรีอย่างเครื่องประดับ นาฬิกา และของขวัญราคาแพง ในเดือนกันยายน 2018 โตเพียง 2.2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และน้อยลงกว่าในเดือนสิงหาคมของปีนี้อย่างน่าตกใจ เนื่องจากยอดขายเดือนสิงหาคมนั้นโตอยู่ที่ 20.8 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

ด้านลูคา ซัลคา นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญด้านสินค้าแบรนด์เนมจากบริษัท Exane BNP Paribas ให้สัมภาษณ์ทางอีเมล์กับสำนักข่าวนิกเกอิเอเชียนรีวิวว่า เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าความมั่นใจในสถานการณ์เศรษฐกิจของชาวจีนเริ่มถดถอย และถ้าสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป บวกกับสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ไม่มีทีท่าจะดีขึ้นในเร็ววัน ปริมาณการซื้อสินค้าแบรนด์เนมของลูกค้าชาวจีนก็จะลดลงมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน

LVMH บริษัทแม่ของแบรนด์ระดับโลกอย่างหลุยส์ วิตตอง เปิดเผยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาว่า ยอดขายของแบรนด์หลุยส์ วิตตอง ประจำเดือนตุลาคม 2018 ลดลงอย่างน่าตกใจ จากหลักสิบปลาย ๆ มาอยู่เพียงหลักสิบต้น ๆ แต่ทางบริษัทไม่มีการระบุตัวเลขที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม จำนวนเปอร์เซ็นต์ที่ลดลงเมื่อเทียบกับจำนวนลูกค้าชาวจีนถือเป็นสิ่งที่สร้างความกังวลให้กับทางบริษัทไม่ใช่น้อย 

นิกเกอิเอเชียนรีวิวทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจถึงสาเหตุของการชะลอตัวในการซื้อสินค้าแบรนด์เนมของชาวจีนว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาชาวจีนคือลูกค้ากลุ่มใหญ่ของสินค้าประเภทนี้ แต่อุตสาหกรรมสินค้าลักชัวรีต้องสะดุดเมื่อนายสีจิ้นผิง ประธานาธิบของจีนได้ประกาศสงครามกับการคอร์รัปชันในประเทศเมื่อปี 2012 ส่งผลกระทบโดยตรงกับยอดขายสินค้าหรู

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นในปี 2016 ยอดขายของสินค้าแบรนด์เนมเริ่มฟื้นตัวกลับมา โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นในช่วงท้ายปี 2017 อีกราว 20 เปอร์เซ็นต์แตะมูลค่า 20,400 ล้านดอลลาร์ หรือราว 670,000 ล้านบาท แต่หลังจากนั้นไม่นานอุตสาหกรรมแบรนด์หรูต้องสะดุดอีกครั้ง เมื่อยอดขายสินค้าที่มีราคาแพงกว่าหลายเท่าอย่างรถยนต์นั้นได้ลดลงเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ยอดขายอุตสาหกรรมยานยนต์จีนลดลงมากที่สุดในรอบ 5 ปี ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น ตลาดการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ และการจับจ่ายของผู้มีความมั่งคั่งในจีนก็เริ่มเลวร้ายลง เป็นผลให้วงการสินค้าแบรนด์เนมซึ่งเป็นสินค้าปลายแถวได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ


Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
185Article
76559Video
0Blog