นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า 12 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับความเสียหายอย่างมากโดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจจากความไม่สงบทางการเมืองและการปฏิวัติ 2 หน
โดยเศรษฐกิจของไทยใน 12 ปีที่ผ่านมาโตเฉลี่ยได้เพียงปีละร้อยละ 3 กว่าๆ เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาก และ 4 ปีที่ผ่านมาโตเฉลี่ยได้เพียงร้อยละ 2 กว่าเท่านั้น พึ่งจะมาเริ่มฟื้นในปีนี้ ซึ่งถ้าหากไม่มีการปฏิวัติ เศรษฐกิจไทยในช่วง 12 ปีที่ผ่านมาควรจะต้องโตได้เฉลี่ยปีละร้อยละ 5-6 ตามศักยภาพ และประชาชนจะต้องกินดีอยู่ดีกว่านี้มาก
"หากจำกันได้ 10 กว่าปีที่แล้ว เรามีผู้นำที่เป็นที่เกรงขามของประชาคมโลก มีทฤษฎีเศรษฐกิจ ที่ถูกขนานนามว่า ทักษิโณทิกส์ เป็นแบบแผนพัฒนาประเทศของตัวเองที่ประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ อยากขอนำไปใช้บ้าง ประเทศไทยรุ่งเรืองถึงขนาดกำลังจะเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเชีย แต่หลังการปฏิวัติและความผันผวนทางการเมืองเรื่อยมาทำให้ ประเทศไทยเปลี่ยนจากเสือตัวที่ห้า กลายเป็นเห็บสยามที่ต้องคอยกระโดดเกาะและดูดประเทศมหาอำนาจไปแล้ว"
ทีมเศรษฐกิจเพื่อไทยกล่าวต่อไปว่า ตามการวิเคราะห์ของอดีตปลัดกระทรวงการคลังที่ได้ถอดใจลาออกไป เราเคยมีผู้นำที่ทันสมัย ความคิดก้าวหน้า มองอนาคตประเทศไทยก้าวไกล ทุกเช้าวันเสาร์ คนไทยส่วนใหญ่ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ จะต้องคอยรับชมหรือรับฟังวิสัยทัศน์ของผู้นำในขณะนั้นว่าจะมีแนวคิดใหม่ๆ อะไร ทิศทางประเทศจะไปทางไหน
นายพิชัยกล่าวต่อไปว่า แนะนำอ่านหนังสืออะไรที่จะทำให้ก้าวทันโลก ในขณะที่ปัจจุบันทุกค่ำวันศุกร์กลายเป็นช่วงประหยัดไฟ เพราะคนไทยจะปิดโทรทัศน์ ไม่มีใครอยากฟังผู้นำเพราะไม่มีเนื้อหาอะไรที่น่าสนใจ จนกระทั่งต้องนำดาราและนักร้องมาช่วยเรียกเรตติ้งเพิ่มคนดู และถึงขนาดต้องนำกลุ่มนักร้องต่างประเทศเข้ามาช่วยซึ่งก็ไม่รู้ว่าประเทศไทยจะได้ประโยชน์อะไรจากการที่ผู้นำโบกแท่งไฟไปมาและถ่ายรูปหมู่ด้วยท่าแปลกๆ
"ในโลกปัจจุบันวิสัยทัศน์ของผู้นำเป็นเครื่องตัดสินว่าประเทศจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร และความสามารถแข่งขันของประเทศต้องขึ้นกับความรู้ความสามารถของผู้นำเป็นหลัก ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับจำนวนเส้นผมบนศีรษะ เพราะหากหันมาดู นายอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ คนที่ถูกจัดให้เป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลกก็มีเส้นผมไม่มากนัก หรือ นายเจฟ เบซอส อภิมหาเศรษฐีที่ชาญฉลาดและเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในปัจจุบัน โดยมีทรัพย์สินรวมกันกว่า หนึ่งแสนหกหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ผู้ก่อตั้งบริษัทขายของออนไลน์ยักษ์ใหญ่ อเมซอน ก็ไม่มีเส้นผมเลย"
นายพิชัยกล่าวว่าหากผู้นำยังวัดคนจากปริมาณเส้นผมบนศีรษะมากกว่าจำนวนรอยหยักบนสมอง อนาคตของประเทศไทยก็คงจะพัฒนาไปได้ไม่มากนัก ดังนั้นอีกไม่นานนี้ ประชาชนไทยจะสามารถเลือกได้ว่าจะอยากได้ผู้นำเช่นไร ที่จะพาประเทศก้าวไปข้างหน้าได้ ในภาวะการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างรวดเร็ว จนโลกต้องเผชิญกับ disruption ในด้านต่างๆ จากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลัน โดยอยากให้พิจารณาจากแนวคิดและผลงานตลอด 4 ปีกว่าที่ผ่านมาว่าจะสามารถนำพาประเทศไทยฝ่าฟันการเปลี่ยนแปลงของโลกและ disruption ด้านต่างๆ ในอนาคตได้หรือไม่ เพราะสุดท้ายแล้วคนไทยทุกคนจะต้องรับผลจากการตัดสินใจนี้ร่วมกัน