วันที่ 6 ก.พ. เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า เรื่องความปลอดภัยของประชาชนได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานความมั่นคงศึกษากำหนดมาตรการให้ผู้ที่ถือปืนเถื่อนโดยไม่จดทะเบียนนำมาคืนให้ภาครัฐ ในเวลาที่กำหนดโดยไม่มีความผิด เพื่อเป็นการลดจำนวนปืนที่ก่อให้เกิดความรุนแรง ซึ่งต้องไม่ขัดกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะมีการออกกฏหมายออกมาเป็นพระกำหนดขึ้นมาเป็นนิรโทษกรรมก่อนแล้วถึงจะนำปืนมาคืนได้ ซึ่งเรื่องนี้จะทำให้เข้าถึงอาวุธที่เป็นอันตรายต่อประชาชนลดน้อยลง
นอกจากนี้สั่งให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อำนวยความสะดวกให้กับผู้พิการ เพื่อให้มาใช้บริการสถานที่ราชการได้สะดวกขึ้นเพื่อให้เกิดความทัดเทียมกัน
รวมไปถึงคณะรัฐมนตรี เห็นชอบให้งดเว้นการตรวจลงตราผู้ถือหนังสือเดินทาง การทูตและราชการระหว่างประเทศของสาธารณรัฐลิทัวเนียเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
นอกจากนี้คณะรัฐมนตรี ได้อนุมัติหลักการ พ.ร.บ.คุ้มครองส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธ์ุ รวมถึงเสนอกฎหมายลำดับรองโดยให้กฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาตรวจสอบ ทั้งร่างของรัฐบาล ประชาชน และสภา เพื่อให้รัดกุมและไม่ขัดต่อกฎหมายอื่น และนำมาเสนอ ครม. ก่อนเสนอไปยังสภาต่อไป โดยตั้งอยู่บนความหลากหลายของวัฒนธรรมเพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำหรือความขัดแย้งซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล
ขณะที่ความมั่นคงตามด่านชายแดนต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบนำของผิดกฎหมายเข้ามา อาทิ หมูเถื่อน ยางเถื่อน ซึ่งช่วงหลังเรามีความเข้มงวดและออกดอกออกผลดีมากจนทำให้ราคาสินค้าการเกษตรดีขึ้นเพราะ ของเถื่อนไม่เข้ามา ซึ่งมีการตอกย้ำในที่ประชุม ครม. ขอให้ สส.ในพื้นที่หน่วยงานความมั่นคง กองทัพ ศุลกากร ด่านเกษตร ให้เข้มงวดหากเห็นพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายขอให้แจ้งมาเพื่อบริหารจัดการจัดการได้อย่างเต็มที่
เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.วัฒนธรรม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เรียบร้อยแล้ว จากนี้เป็นเรื่องที่จะเข้าสภาฯดำเนินการต่อไป ซึ่ง ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้สืบเนื่องจากการที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดเจน เรื่องการส่งเสริมทุกเผ่าพันธุ์ให้มีสิทธิเท่าเทียมกัน ประกอบกับเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลที่เคยประกาศไว้ ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยมีจำนวนประมาณ 10 ล้านคน ในทั่วทุกภูมิภาค
ทั้งนี้ จากการศึกษาก่อนที่จะออกมาเป็นร่างกฎหมายฉบับนี้ พบว่ามีปัญหาหลายมิติ ปัญหาหนึ่งคือการที่กลุ่มชาติพันธุ์ไม่ได้สัญชาติไทย เขาจึงไม่มีสิทธิเท่ากับคนไทย เหมือนเราทิ้งเขาไว้ข้างหลัง จึงจำเป็นต้องมีร่างกฎหมายฉบับนี้ เพื่อให้เขาได้รับการคุ้มครองในฐานะพลเมือง ให้เขาได้สัญชาติไทยซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาดำเนินการต่อ เรื่องที่ทำมาหากินเนื่องจากพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์เกือบทุกส่วนอยู่ในพื้นที่ป่าสงวน และพื้นที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เราจึงจะให้ความคุ้มครองว่าเคยอยู่ตรงไหนให้อยู่ตรงนั้น แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องประกอบอาชีพในพื้นที่โล่งเตียนอยู่แล้ว ต้องไม่มีการตัดไม้ทำลายป่า ขณะเดียวกัน จะให้เจ้าของพื้นที่ที่คอยอยู่ดูแลพื้นที่ป่าให้ได้อยู่ต่อไปในลักษณะคนกับป่าอยู่ด้วยกัน
นอกจากนี้ จะมีการส่งเสริมอาชีพ สิทธิ คุณภาพชีวิต สุขภาพอนามัย การท่องเที่ยว และซอฟต์พาวเวอร์ หากเราทำได้สมบูรณ์เรียบร้อย พี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ 10 ล้านคน จากเดิมที่เคยเป็นภาระของรัฐบาลจะเป็นพลังสำคัญของรัฐบาล ในการดูแลการบุกรุกทำลายป่า และหากได้เป็นคนไทย 100% ก็จะเกิดความรักประเทศไทย ปฏิบัติตามหน้าที่พลเมืองไทยที่สมบูรณ์
“จะมีการลงทะเบียนพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อให้รู้ถิ่นที่อยู่ชัดเจน และต่อไปอาจต้องให้เข้าระบบทะเบียนราษฎรเพื่อให้ได้มีสัญชาติไทย ซึ่งน่าจะเป็นจุดสำคัญที่สุดของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งหากเข้าสภาฯคงต้องเร่งพิจารณาให้ทันสมัยประชุมนี้ เพราะเป็นนโยบายรัฐบาล และเป็นความต้องการของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ด้วย เชื่อว่าสส.ทุกพรรคจะให้ความสำคัญ และร่วมกันผลักดันผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ เพราะเป็นประโยชน์ส่งเสริมให้เกิดความเท่าเทียมเสมอภาค ไม่ได้ริดลอนสิทธิประชาชนแต่อย่างใด”