วันที่ 10 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงผลสรุปการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ครั้งที่ 2/2566 ว่า รัฐบาลได้อัดฉีดงบ 600,000 ล้านบาท สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยใช้สำหรับนโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ต 500,000 ล้านบาท ซึ่งนโยบายดังกล่าวคือการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ ให้เข้าถึงทุกพื้นที่ เพื่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยหมุนเวียนภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดยการอัดฉีดครั้งแรกมีระยะเวลา 6 เดือนเพื่อให้เงินมีการหมุนเวียน และสามารถใช้ต่อได้จนถึงเดือนเมษายนปี 2570 

โดยเงื่อนไขที่รัฐบาลจะแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตนั้น สำหรับคนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป มีรายได้ไม่ถึง 70,000 บาทต่อเดือน และเงินฝากต่ำกว่า 500,000 บาท โดยมีระยะเวลาครอบคลุมการใช้สิทธิ์ 6 เดือนหลังจากเริ่มโครงการ และมีการขยายพื้นที่ครอบคลุมระดับอำเภอตามบัตรประชาชน โดยรัฐบาลจะมีการต่อยอดแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง‘ ซึ่งมีผู้ลงทะเบียนอยู่แล้ว ในการจ่ายเงินให้แก่ประชาชน 

ส่วนอีก 100,000 ล้านบาท รัฐบาลจะเพิ่มงบในกองทุนเพิ่มขีดความสามารถฯ เพื่อส่งเสริมให้มีการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ อุตสาหกรรมดิจิทัล การเกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ รวมไปถึงการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งจะใช้ด้วยการดึงดูดผู้ที่มีความสามารถให้เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้ต่อเนื่องต่อไป 

เศรษฐา ยังกล่าวยืนยันถึงความตั้งใจที่จะทำให้คนไทยซึ่งไม่ได้สิทธิ์เงินดิจิทัลวอลเล็ต สามารถมีส่วนร่วมในการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ โดยรัฐบาลได้จัดทำโครงการ E-Refund ให้คนไทยสามารถลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลจากการซื้อสินค้า และบริการมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท โดยนำใบกำกับภาษีมาประกอบยื่นภาษีบุคคล และรัฐจะคืนเงินภาษีตรงส่วนนั้นให้ อีกทั้งจะทำให้ร้านค้าเข้าระบบภาษีดิจิทัลมากขึ้นอีกด้วย 

สำหรับเงื่อนไขของการใช้เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทนั้น เศรษฐา กล่าวว่า ประชาชนสามารถใช้ซื้อสินค้า อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าอุปโภค บริโภคได้เท่านั้น ไม่สามารถใช้กับบริการ ซื้อสินค้าออนไลน์ ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ กัญชา กระท่อม พืชกระท่อม และผลิตภัณฑ์จากกัญชา หรือพืชกระท่อม รวมถึงไม่สามารถนำไปซื้อบัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชร พลอย อัญมณีได้ 

นอกจากนี้ยังไม่สามารถนำไปชำระหนี้ จ่ายค่าเรียน ค่าเทอม จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ หรือซื้อน้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซธรรมชาติ แลกเป็นเงินสด หรือแลกเปลี่ยนในตลาดต่างๆ ไม่ได้ รวมถึงใช้ได้กับร้านค้าที่อยู่ในอำเภอเดียวกับบัตรประชาชนเท่านั้น โดยสามารถใช้ซื้อสินค้าได้ทุกร้านค้า ไม่ได้จำกัดแต่ร้านที่อยู่ในระบบภาษี ไม่จำเป็นต้องจด VAT แต่ต้องมีการลงทะเบียนรับสิทธิ และร้านค้าที่จะขึ้นเงินได้ต้องอยู่ในระบบภาษีเท่านั้น 

ทั้งนี้ นโยบายทั้งหมดนี้ จะส่งผลดีต่อประเทศ 2 อย่าง คือ กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในระยะสั้นโดยมีประชาชนทุกภาคส่วนเป็นกลไกที่สำคัญผ่านการบริโภคและการลงทุน /และ วางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนำไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาโครงสร้างของประเทศระยะยาว 

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่านี่ไม่ใช่การสงเคราะห์ประชาชนผู้ยากไร้ แต่เป็นการเติมเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจ ผ่านสิทธิการใช้จ่ายเพื่อให้ประชาชนมีบทบาทร่วมกับรัฐบาลในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะที่รักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐทุกประการ ขอให้ประชาชนทุกคนได้รับสิทธิ์ร่วมกันมีความภาคภูมิใจทุกคนล้วนเป็นผู้สร้างความเจริญเติบโตและความมั่นคงของเศรษฐกิจในประเทศเรา

เศรษฐา กล่าวว่า โครงการนี้ถือเป็นการลงทุนที่มอบสิทธิ และอำนาจให้กับประชาชนช่วยกันกอบกู้เศรษฐกิจ ซึ่งจะก่อให้เกิดการลงทุนในภาคประชาชน ทั้งการรวมเงินในครัวเรือนเพื่อประกอบอาชีพ การซื้อขายสินค้าของพ่อค้าแม่ค้า ไปจนถึงการสั่งผลิตสินค้าในโรงงาน SME ไปจนถึงโรงงานขนาดใหญ่

เศรษฐา ย้ำว่า เงินดิจิทัลวอลเล็ตไม่ได้มีการเขียนโปรแกรมสร้างเงินเหมือน Cryptocurrency ต่างๆ และไม่ได้เป็นการนำเงินไปซื้อเหรียญมาแจก มีมูลค่าเป็นเงินบาทที่มีเงื่อนไขในการใช้งาน เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจสูงกว่าการอัดฉีดที่ผ่านมา เพราะฉะนั้น เงิน 1 บาทในโครงการนี้ ก็คือ 1 บาทในกระเป๋าเงินของประชาชน 

สำหรับการดำเนินนโยบายนี้ เศรษฐา ระบุว่า โครงการนี้จะเริ่มให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 และนำเข้าสู่กระบวนการของรัฐสภาในช่วงเดือนมกราคม 2567 เพื่อออกเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เงินกู้ เป็นวงเงิน 500,000 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่า จะได้รับการอนุมัติโดยรัฐสภา และเป็นไปตาม ม.53 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 อีกทั้งจะสามารถเริ่มโครงการนี้ได้ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 

โดย พ.ร.บ.เงินกู้ ดังกล่าวจะระบุวัตถุประสงค์ของการกู้เงิน ระยะเวลาในการกู้เงิน แผนงานหรือโครงการที่ใช้จ่ายเงินกู้ วงเงินที่อนุญาตให้ใช้จ่ายเงินกู้ และหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินแผนงานหรือโครงการที่ใช้จ่ายเงินกู้ในโครงการให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย และรัฐบาลจะทำการกู้เงินก็ต่อเมื่อมีการนำเงินไปใช้ และนำมาขึ้นเป็นเงินสด 

เศรษฐา กล่าวย้ำว่า จะเป็นการทำให้เงินในระบบทั้งหมดใหญ่ขึ้นกว่า 500,000 ล้านบาท ซึ่งจะหมุนเวียนและกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยยะ ผสมกับงบประมาณ 100,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการที่กล่าวไปทั้งหมด ทุกท่านไม่ต้องห่วงเรื่องของการใช้เงินคืน รัฐบาลจะมีแผนจัดสรรเงินงบประมาณมาเพื่อจ่ายคืนเงินส่วนที่เป็นเงินกู้ตลอดระยะเวลา 4 ปี