ไม่พบผลการค้นหา
“พิชัย” ติง เศรษฐกิจไทยไม่สดใสหลัง ปลายปี 65 ขยายได้แค่ 1.4% ต่ำที่สุด ชี้ส่งออกติดลบ เงินเฟ้อยังสูง คนไทยรายได้ต่อหัวลดลง แนะ ไม่เปลี่ยนการบริหารไทยจะยิ่งทรุดหนัก และต้องปรับนโยบาย

พิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวในงานเสวนา “คำถามที่ประยุทธ์ตอบไม่ได้ ทำไมถึงอยากไปต่อ” ที่พรรคเพื่อไทยว่า ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 152 ที่ฝ่ายค้านได้เปิดเผยปัญหาต่างๆที่รัฐบาลที่สร้างขึ้นตลอด 8 ปี แต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอบไม่ตรงกับที่ฝ่ายค้านอภิปราย ทั้งเรื่อง การทุจริตคอรัปชั่นที่กระจาย เรื่องทุนจีนสีเทา ที่มีการพูดถึงว่าในสมัยพลเอกประยุทธ์ได้เปลี่ยนจากตำรวจที่มีสีกากีให้กลายเป็นสีเทาแล้ว รวมถึงความพัวพันในธุรกิจของเครือญาติพลเอกประยุทธ์กับทุนจีนสีเทานี้ พฤติกรรมของตำรวจภายใต้การกำกับดูแล และ บังคับบัญชาโดยพลเอกประยุทธ์ และความล้มเหลวในการบริหารประเทศในทุกด้าน

โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่พลเอกประยุทธ์ยอมรับเองว่าไม่มีความรู้ความสามารถในเรื่องนี้ โดยล่าสุด สภาพัฒน์ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 โดยขยายตัวได้เพียง 1.4% ซึ่งถือว่าต่ำมาก ทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2565 ทั้งปี ขยายได้เพียง 2.6% ต่ำกว่าที่คาดประมาณอย่างมาก สาเหตุหลักน่าจะมาจากการส่งออกที่ติดลบถึง 10.5% ในไตรมาสที่ 4 นี้ที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เตือนไว้แล้ว และสภาพัฒน์ยังเตือนว่าการส่งออกในปี 2566 นี้จะติดลบ ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้เตือนไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และสภาพัฒน์ยังลดการคาดการณ์เศรษฐกิจในปีนี้เหลือเพียง 3.2% หรืออาจจะต่ำกว่านึ้ก็เป็นได้ อีกทั้งคนไทยยังมีรายได้ต่อหัวต่อคนลดลงในรูปดอลล่าร์ โดยตลอด 8 ปีมานี้เศรษฐกิจไทยขยายตัวน้อยกว่าที่คาดการณ์มาตลอด และ ขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพมาก ดังนั้นที่อ้างว่าเศรษฐกิจดีจนมีคนชมเชยนั้นจึงไม่เป็นความจริง 

นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบเศรษฐกิจไทยกับเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้าน จะพบว่าเศรษฐกิจไทยปี 65 ที่ขยายได้เพียง 2.6% ต่ำกว่าประเทศในอาเซียนมาก โดยเศรษฐกิจมาเลเซียที่เป็นประเทศรายได้สูงแล้วยังขยายได้ถึง 8.7% เวียดนามขยายได้ 8.0% ฟิลิปปินส์ 7.8% อินโดนิเซีย 5.3% แม้กระทั่งสิงคโปร์ยังขยายได้ 3.8% ซึ่งเท่ากับไทยขยายตัวได้ต่ำที่สุด และเป็นแบบนี้มาตลอด 8 ปีแล้วไม่ใช่เพียงปีนี้ 

ทั้งนี้ 5 ปัจจัยเสี่ยงที่พรรคเพื่อไทยเตือนเริ่มเป็นปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งปัญหาหนี้ที่เพิ่มขึ้นไม่หยุดโดยเฉพาะหนึ้เสียในภาคธนาคาร เศรษฐกิจโลกที่ทรุดลงอย่างรวดเร็ว ปัญหาดอกเบี้ยขาขึ้นที่เพิ่มภาระประชาชนทั้งภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน ปัญหาเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอึดจากเดือนมกราคมที่ยังพุ่งต่ออีก 5.02% หลังปีที่แล้วเงินเฟ้อพุ่งไป 6.08% และ ปัญหาราคาพลังงานที่ราคาในตลาดโลกลดแล้ว แต่ไทยกลับไม่ยอมลด แถมก๊าซหุงต้มยังจะยิ่งเพิ่มขึ้น ซึ่งจะสร้างความลำบากอย่างมาก

ปัญหาเหล่านี้พลเอกประยุทธ์ตอบไม่ได้ แต่ทำไมจึงอยากจะไปต่อ ซึ่งหากปล่อยให้รัฐบาลนี้บริหารต่อไป เศรษฐกิจไทยจะทรุดลงไปอีก จึงถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนการบริหารและต้องปรับเปลี่ยนนโยบายทั้งหมดเพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ ทั้งเรื่องราคาพลังงานที่จะต้องลดลง การสร้างรายได้ใหม่ การงทุนและสร้างธุรกิจ สมัยใหม่ เป็นต้น การปรับเปลี่ยนประเทศในหลายๆด้านไปพร้อมๆกัน เพื่อให้ก้าวหน้าทันประเทศเพื่อนบ้าน ก่อนที่จะสายเกินไป