ดร.กันตธีร์ ศุภมงคล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ประเมินว่า ข้อพิพาทไทย – กัมพูชา อันเนื่องมาจากปราสาทพระวิหาร และพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ไม่ได้จำกัดวงเฉพาะสองฝ่ายคู่ขัดแย้ง คือ ไทย และกัมพูชา เท่านั้น แต่ขณะนี้ “อาเซียน “ ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยข้อพิพาทครั้งนี้ เห็นได้ชัดจากท่าทีของ รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียน และการเรียกประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนในวันที่ 22 กุมภาพันธ์
ดร.กันตธีร์ ประเมินว่า อาเซียนกำลังสร้างบรรทัดฐานใหม่ ในการเข้ามาเป็นคนกลางคลี่คลายความขัดแย้งของประเทศสมาชิก ถือเป็นบทบาทเชิง”สร้างสรรค์” ที่น่าจับตามอง
ส่วนการที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจัดการประชุม เพื่อรับฟังคำชี้แจงจากรัฐมนตรีต่างประไทยไทย – กัมพูชา โดยมีรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนเข้าร่วมด้วย ดร.กันตธีร์ ประเมินว่าเป็นความสำเร็จทางการทูตของกัมพูชา ที่สามารถผลักดันให้กรณีพิพาทนี้เข้าสู่ที่ประชุมระดับคณะมนตรีความมั่นคงฯ
พร้อมวิเคราะห์ 4 แนวทางที่จะออกมา
1. คณะมนตรีฯ รับฟังข้อคิดเห็นทุกฝ่าย แล้วเสนอให้ไทย- กัมพูชาเจรจาหาทางออกร่วมกันโดยมี อาเซียนเป็นคนกลาง แนวทางนี้ถือว่าดีที่สุดสำหรับฝ่ายไทย
2. ประธานคณะมนตรีความมั่นคงฯ มีถ้อยแถลงออกมาเป็นข้อเสนอแนะแต่ไม่ผูกมัด
3. คณะมนตรีฯ มีข้อมติต่อกรณีพิพาทที่เกิดขึ้น
4. คณะมนตรีฯ เสนอให้ศาลโลก พิจารณาให้ความเห็นต่อคณะมนตรีฯ
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ย้ำว่า การดำเนินนโยบายการทูตเชิงรุกอย่างสร้างสรรค์เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ