สตาร์บัคส์จะเลิกขายหนังสือพิมพ์
หนังสือพิมพ์กับร้านกาแฟเคยเป็นของคู่กัน เนื่องจากคนจำนวนมากนิยมอ่านหนังสือพิมพ์ระหว่างที่ดื่มกาแฟไปด้วย แต่หลังจากที่ผู้คนหันไปติดตามข่าวสารผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น เพราะสะดวกและรวดเร็วกว่า ทำให้หนังสือพิมพ์หมดความจำเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ สตาร์บัคส์ ร้านกาแฟชื่อดังในสหรัฐฯ จึงประกาศว่าจะหยุดวางขายหนังสือพิมพ์ระดับประเทศทั้งหมด 3 ฉบับ ภายในร้าน ซึ่งประกอบด้วย The New York Times , The Wall Street Journal และ USA Today รวมทั้งหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของแต่ละรัฐด้วย โดยจะเริ่มหยุดจำหน่ายตั้งแต่เดือนกันยายนที่จะถึงนี้
สตาร์บัคส์ 8,600 สาขา ทั่วสหรัฐฯ จะเริ่มนำแผงขายหนังสือพิมพ์ออกจากร้าน แล้วแทนที่ด้วยชั้นวางขายเมล็ดกาแฟหรือขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ ซึ่งผลสำรวจในสหรัฐฯ เมื่อปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า สื่อสิ่งพิมพ์มียอดขายในสหรัฐฯ ในวันธรรมดา ประมาณ 23.6 ล้านเล่มต่อวัน และ 30.8 ล้านเล่มในวันอาทิตย์ ลดลงจากปีก่อนหน้าถึง 12 เปอร์เซ็นต์ และมีแนวโน้มที่จะลดลงต่อเนื่อง ขณะที่สื่อออนไลน์มีผู้ติดตามอ่านเพิ่มขึ้นปีละ 6 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการที่สตาร์บัคส์ตัดสินใจเลิกวางจำหน่ายหนังสือพิมพ์ภายในร้าน เป็นการปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย
The New York Times เปิดเผยว่ารู้สึกเสียใจต่อการตัดสินใจเลิกขายหนังสือพิมพ์ของสตาร์บัคส์ แต่เชื่อว่าจะกระทบต่อยอดขายของหนังสือพิมพ์เพียงน้อยนิด ขณะที่ลูกค้าของสตาร์บัคส์บางส่วนมองว่าสตาร์บัคส์ควรจะขายหนังสือพิมพ์ในร้านเหมือนเดิม เพราะไม่ใช่ว่าลูกค้าทุกคน ติดตามข่าวสารผ่านอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา
ทวีตเหยียดส.ส.หญิงของทรัมป์ไม่ผิดกฎ
ขณะที่โซเชียลมีเดียหลายแห่งกำลังพยายามปราบปรามการเผยแพร่เนื้อหาที่สร้างความเกลียดชัง แต่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขึ้นชื่อเรื่องการทวีตข้อความที่มีเนื้อหาหมิ่นเหม่เหยียดเชื้อชาติและเหยียดเพศมาแล้วหลายครั้ง ล่าสุด ทรัมป์ ทวีตเหยียดเชื้อชาติ ส.ส.หญิง สี่คนจากพรรคเดโมเครต พร้อมไล่พวกเธอให้กลับประเทศบ้านเกิด หลังจากที่พวกเธอออกมาวิจารณ์นโยบายผู้อพยพ ซึ่งคนจำนวนมากมองว่านี่คือทวีตที่สร้างความเกลียดชังอย่างชัดเจน แต่ทวิตเตอร์กลับมองว่าทวีตของทรัมป์ไม่ได้มีเนื้อหาผิดกฎการใช้งานแต่อย่างใด แต่ก็ไม่ได้อธิบายเหตุผลว่าทำไมถึงไม่ผิด
ทวิตเตอร์มีนโยบายแบนข้อความที่มีเนื้อหาทำร้ายหรือปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของผู้อื่น โดยเฉพาะการกล่าวโจมตีผู้อื่นด้วยเหตุผลเรื่องเชื้อชาติ สีผิว เพศ ศาสนา อายุ หรือร่างกาย ซึ่งทรัมป์เคยทวีตข้อความลักษณะดังกล่าวมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยถูกทวิตเตอร์แบน ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า ทรัมป์ซึ่งมีผู้ติดตามบนทวิตเตอร์ 61.9 ล้านคน มีมูลค่าทางธุรกิจต่อทวิตเตอร์มากเกินกว่าที่จะถูกแบน ซึ่งทวิตเตอร์มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2016
ด้านทวิตเตอร์เคยอธิบายสาเหตุที่ไม่แบนโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าในฐานะที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ทวีตของทรัมป์มีคุณค่าเป็นข่าวสารสำคัญที่ประชาชนควรรับรู้ และไม่ควรถูกปกปิดเพื่อให้ประชาชนได้ร่วมกันถกเถียงประเด็นต่าง ๆ ที่ทรัมป์ทวีต ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย
ยูทูบเปิดช่องการเรียนรู้-ไร้โฆษณา
ยูทูบ เปิดตัวเพลย์ลิสต์เพื่อการเรียนรู้ที่มีชื่อว่า Youtube Learning ซึ่งรวบรวมวิดีโอที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับวิชาการศึกษาหลากหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ดนตรี หรือภาษาต่างประเทศ รวมทั้งเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจหลายอย่าง สำหรับผู้ใช้งานที่เป็นเด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ โดยวิดีโอทั้งหมด ผู้ใช้งานจะสามารถเลือกดูได้โดยที่จะไม่ถูกอัลกอริทึมของยูทูบเข้ามารบกวน เช่น จะไม่มีโฆษณาโผล่ขึ้นมาขณะที่กำลังชมวิดีโอ และจะไม่มีการแนะนำให้ชมวิดีโออื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการศึกษา เพื่อให้ผู้ใช้งานโฟกัสกับการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม จะยังคงมีโฆษณาขึ้นมาให้ดูก่อนวิดีโอจะเริ่มเล่น
สำหรับวิดีโอที่มีหลายตัวและเป็นการเรียนแบบต่อเนื่อง ผู้ใช้งานจะมองเห็นวิดีโอทั้งหมดในบทเรียนนั้นบนด้านขวาของหน้าจอ และติดตามดูได้ว่าตอนนี้กำลังเรียนถึงตรงไหนแล้ว และต้องดูวิดีโออีกเท่าไรถึงจะจบบทเรียน
ยูทูบพยายามพัฒนาแพลตฟอร์มของตัวเองให้เป็นพื้นที่การเรียนรู้ที่น่าเชื่อถือและสร้างสรรค์ ซึ่งเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ยูทูบประกาศว่าจะลงทุนเพิ่ม 20 ล้านดอลลาร์ ให้กับครีเอเตอร์ที่สร้างวิดีโอการเรียนรู้ที่มีประโยชน์ หลังจากที่ยูทูบถูกกล่าวหาว่าปล่อยปละละเลยให้มีวิดีโอที่เผยแพร่เนื้อหาที่ไม่เป็นจริงมากเกินไป