เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เข้าพบ นายมหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊กว่า 'เมื่อผมได้มีโอกาสพบนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อายุ93 แล้ว แต่หัวใจยังหนุ่ม'
วันเสาร์ที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญไปร่วมงานประชุมที่มาเลเซีย งาน 'เทศกาลประชาธิปไตย' จัดโดย FORSEA องค์กรภาคประชาชนสิทธิมนุษยชนในอาเซียนองค์กรใหม่ แน่นอนว่ามีนักกิจกรรมสังคม อาจารย์นักวิชาการ และคนรุ่นใหม่เข้าร่วมไม่น้อย
ผมพูดตอนบ่าย แต่ตอนเช้า คนที่มาพูดเปิดงานนี้ถือว่าสำคัญมากและแปลกมาก ที่สำคัญคงปฏิเสธไม่ได้ที่จะไม่มีใครรู้จัก บุคคลนี้ นามว่า ดร.มหาธีร์ โมฮัดหมัด นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของมาเลเชีย ซึ่งเคยเป็นนายกฯมาก่อนหน้าอยู่ในตำแหน่งนายกฯ 22ปี (ระหว่างปี 1981-2003) ถ้าหากเทียบเขากับลีกวนยูของสิงคโปร์ก็ไม่แพ้กัน หลังจากการโกงยักยอกเงินครั้งใหญ่ของนายกฯคนก่อน นาจิบ ราซัก อดีตลูกศิษย์และนายกพรรคเดียวกับมหาเธร์ มหาเธร์ได้ร่วมมือกับพรรคฝ่ายค้าน พวกตรงข้ามที่ก่อนหน้าโดนข้อหาติดคุกสมัยที่มหาเธร์เป็นนายก ร่วมมือกันล้มรัฐบาลนาจิก ราซักผ่านการเลือกตั้ง และสิ้นสุดการครองอำนาจยาวนานของพรรคที่มหาเธร์เคยเป็นนายกลง เขาบอกในปาฐกถางานนี้ว่า 'เมื่อพรรคไม่ได้มีจุดประสงค์ที่ตั้งไว้แล้ว ก็ต้องสู้ ต้องต่อต้านมัน' พรรคการเมืองในไทยเสียดายเรามีเวลาไม่กี่ปีก็รัฐประหารเลยไม่มีโอกาสเห็นแบบนี้
ที่ผมว่าแปลกเพราะงานนี้ มหาเธร์มาปรากฏตัวในที่ประชุมของนักกิจกรรมเก่าที่เขาเคยสั่งติดคุก ไล่ล่า ที่แปลกคือ คนที่นั่งติดเขา เป็นศัตรูเก่า เคยติดคุก เป็นนักกิจกรรมเก่า อยู่พรรคฝ่ายค้าน แต่ปัจจุบันเป็นรัฐมนตรีกลาโหม ภายใต้การนำของมหาเธร์ ที่แปลกคืองานนี้ตัวตั้งตัวตีชาวมาเลที่ขึ้นพูดแนะนำมหาเธร์ก็คือ คนที่ต้องลี้ภัยทางการเมืองออกจากมาเลเชียไปอยู่ที่อื่นยี่สิบปีเพราะต่อต้านรัฐบาลเผด็จการก่อนหน้าและสมัยมหาเธร์ช่วงแรก
พวกเขามารวมกันได้ยังไงกัน และนี่จะมีโอกาสเกิดขึ้นในเมืองไทยไหม ผมคิดคำนึง แน่นอนนักกิจกรรมเหล่านี้ซึ่งเคยเป็นนักเรียนนักศึกษาไม่ใช่คนที่มหาเธร์ผู้อำนาจล้นพ้นจะมาเห็นดีเห็นงามด้วยทันทีทันใด แต่พวกเขาต่อสู้ยาวนาน จนทำให้คุณค่าประชาธิปไตยเป็นที่ยอมรับกว้างขวาง มันใช้เวลา ยอมเสี่ยงที่จะพูดความจริง และอาจถูกจับ ล่าสุดขบวนการที่พวกเขาหลายคนเป็นตัวตั้งตัวตีคือ Bersih ที่ออกมาเรียกร้องการเลือกตั้งที่โปร่งใสเป็นธรรม การสุจริตทางการเมือง ก็ทำให้มหาเธร์เอง เมื่อเป็นคนแก่เห็นแก่บ้านแก่เมือง แม้ความคิดจะแตกต่าง แต่ก็มาร่วมหัวจมท้ายด้วย จนชนะการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว มหาเธร์ในคาบใหม่ มาพร้อมพลังประชาธิปไตย และก็ถึงได้มากล่าวเปิดงานในวันนี้นั่นเอง
ผมโชคดีได้มีโอกาสเจอ ดร.มหาเธร์ด้วย โดยได้คุยกับท่านสั้นๆ ผมทักทายว่ามาจากจุฬาฯ ที่ท่านเคยไปพูด ผมถามท่านว่า ขอให้ มาเลเซียสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งที่เสรีและโปร่งใสเป็นธรรมในวันที่ 24มีนาคมนี้ ตอนนี้เราอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนมาก ท่านยิ้มพยักหน้า
ผมยังได้มอบหนังสือที่ผมแปล 'ตัวข้าไซร้ไร้ศัตรู'ผลงานของหลิว เสี่ยวโปนักเขียนที่จีนคุมขัง และจีนกลัวที่สุดให้ ผมพูดยกย่องที่รัฐบาลใหม่ท่านกล้าท้าทายการครอบงำของจีน ไม่เหมือนไทยในเวลานี้ และขอยกย่องที่ท่านไม่เล่นตามจีน ส่งคนอุยกูร์ที่หนีตายกลับไปจีน ต่างกับรัฐบาลประยุทธ์ที่ไม่เห็นมนุษยธรรมเอาเลย และเป็นการบอกว่าไทยไม่มีจุดยืน ทหารหาญคงไม่ได้หมายถึงผู้นำทหารไทยเวลานี้
และ ผมมอบธงสีรุ้งที่เพื่อนนิสิตจุฬาผมฝากมาให้ ผมบอกท่านว่า ผมจำได้ที่ท่านมาพูดที่จุฬาบอกว่า การแต่งงานคนเพศเดียวกันยังไม่พร้อมที่มาเล ไม่ใช่คุณค่าเอเชีย ไม่มีใครค้านท่านตอนนั้น แต่ ไม่ใช่ทุกคนไทยทุกคนเห็นด้วยนะ ผมล่ะคนนึง และผมเลยเอาเสียงตรงนั้นมาบอกท่านด้วยธงนี้
ผมยื่นให้ ท่านก็รับไป กล่าวขอบคุณ แม้เห็นต่างกับผม จบ มีเวลาเท่านี้