นักวิเคราะห์คาดพรรครัฐบาลมาเลเซียคว้าชัยในการเลือกตั้งในวันพุธ แต่อาจได้ที่นั่งในสภาน้อยกว่าเมื่อปี 2013 ขณะโอกาสชนะของปีกฝ่ายค้านที่นำโดยมหาเธร์ โมฮัมหมัด อยู่ที่ 15%
การเลือกตั้งใหญ่ของมาเลเซียในวันพุธที่ 9 พฤษภาคม 2561 นับเป็นการชิงชัยที่ดุเดือดที่สุดนับแต่มาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี 1957 เนื่องจากเป็นการต่อสู้ระหว่างมหาเธร์ โมฮัมหมัด วัย 92 ปี อดีตนายกรัฐมนตรีที่ปกครองด้วยระบอบอำนาจนิยมเป็นเวลา22 ปี กับนายนาจิบ ราซัค วัย 64 ปี นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ผู้ถูกครหาว่ายักยอกเงินจำนวนมหาศาลจากกองทุนของรัฐบาล
ยูเรเซียกรุ๊ป บริษัทที่ปรึกษาซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในนิวยอร์ก คาดว่า แม้กลุ่มพรรคฝ่ายค้านจะทำคะแนนนิยมตีตื้นขึ้นมาได้มาก แต่ยังไม่เพียงพอที่จะโค่นพรรคพันธมิตรของฝ่ายรัฐบาล ในนาม บาริซัน เนชันแนล หรือบีเอ็น ได้
บริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงทางการเมืองแห่งนี้ บอกว่า กลุ่มพรรคฝ่ายค้าน ในนาม ปะกาตัน ฮารัปปัน หรือพันธมิตรแห่งความหวัง มีโอกาส 15 % ที่จะชนะเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม 'ปีเตอร์ มัมฟอร์ด' ผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียของบริษัท บอกว่า บีเอ็นอาจได้ที่นั่งในสภาไม่ถึง 133 ที่นั่งจากทั้งหมด 222 ที่นั่งที่เคยได้รับเมื่อการเลือกตั้งปี 2013 ซึ่งจะส่งผลให้นาจิบสูญเสียอิทธิพลภายในพรรคอัมโน และอาจต้องหลีกทางในการเลือกตั้งครั้งหน้า
'มหาเธร์' เป็นผู้ปลุกปั้น 'นาจิบ' ขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี แต่หันมาเป็นปรปักษ์กับ 'นาจิบ' เพราะกรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับกองทุนรัฐบาล ที่เรียกว่า วัน มาเลเซีย เดเวลอปเมนต์ เบอร์ฮาด หรือ วันเอ็มดีบี ซึ่งทำให้กองทุนมีหนี้สินมหาศาล
ในการเลือกตั้งครั้งนี้มหาเธร์จับมือกับพรรคของอันวาร์ อิบราฮิม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ผู้เคยถูกมหาเธร์ปลดออกจากตำแหน่งเมื่อปี 1998 อันวาร์ต้องโทษจำคุกเมื่อปี 2015 ในข้อหาร่วมเพศทางทวารหนัก ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า เป็นการเล่นงานทางการเมือง มหาเธร์ให้สัญญาว่า ถ้าปีกฝ่ายค้านชนะเลือกตั้ง เขาจะขออภัยโทษให้แก่อันวาร์ และหลีกทางให้อันวาร์ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ พรรครัฐบาลมีฐานเสียงในหมู่ชาวมลายู ซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ของมาเลเซีย พรรคฝ่ายค้านมีคะแนนนิยมในกลุ่มคนเชื้อสายจีนคนเชื้อสายอินเดีย ขณะที่มหาเธร์มีฐานเสียงในหมู่คนชนบท