ไม่พบผลการค้นหา
“เรืองไกร” ยกคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ตอกย้ำตำแหน่งหัวหน้า คสช. เข้าข่ายการเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ จี้กกต. ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน ขู่ยื่น ป.ป.ช.เอาผิด พล.อ.ประยุทธ์ หากตำแหน่งหัวหน้า คสช. ไม่ใช่เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ ยื่นหนังสือขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้า คสช. เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐหรือไม่

นายเรืองไกร ย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหัวหน้า คสช. มีอำนาจ ม.44 ตามในรัฐธรรมนูญปี 2557 และได้รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มเป็นรายเดือน ในอัตราเดือนละ 125,590 บาท ตามความในพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้ดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญบางตำแหน่งปี 2557

ขณะเดียวกันพล.อ.ประยุทธ์ ได้รับเงินทุกเดือน เดือนละ 125,590 บาท มาจนถึงปัจจุบัน คิดคำนวณเงินที่ได้รับไปจากงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งมาจากภาษีประชาชน จากเดือน พ.ย. 2557 ถึงเดือน ก.พ. 2562 รวม 52 เดือน เท่ากับ 6,530,680 บาท 

ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช. จึงอาจเข้าข่ายเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ตามความในมาตรา 98(15) ย่อมเข้าลักษณะต้องห้ามมิให้เป็นบุคคลที่จะได้รับการแจ้งชื่อเพื่อเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

นอกจากนี้ ตามแนวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2543 กกต. เคยขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐมาแล้ว ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้ส่วนหนึ่งว่า ตำแหน่งผู้พิพากษาสมทบเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ดังนั้นตำแหน่งหัวหน้า คสช. จึงอาจเทียบเคียงได้กับตำแหน่งผู้พิพากษาสมทบ กรณีนี้จึงมีเหตุที่ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป

นายเรืองไกร ยังคาดหวังให้ พล.อ.ประยุทธ์แสดงความกล้าหาญ ด้วยการทำหนังสือถึง กกต.เพื่อขอให้ กกต. ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความคุณสมบัติในการเป็นหัวหน้า คสช.ว่าเข้าข่ายการเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐหรือไม่ ซึ่งการที่ พล.อ.ประยุทธ์รับเงินเดือนไปแล้วรวมกว่า 6,530,680 บาทนั้น หากได้รับคำตอบว่าไม่ใช่เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ในอนาคตจะเดินทางไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เพื่อให้เอาผิดกับพลเอกประยุทธ์ที่รับประโยชน์อื่นใดเกิน 3,000 บาท